Deadpool & Wolverine หนังที่จะกอบกู้จักรวาล Marvel?
ท่ามกลางภาวะซบเซาและความเหนื่อยล้าของผู้ชมที่มีต่อจักรวาลภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่ การมาถึงของ Deadpool & Wolverine หนังที่จะกอบกู้จักรวาล Marvel? จึงเปรียบเสมือนการเดิมพันครั้งสำคัญที่อาจชี้ชะตาอนาคตของ Marvel Cinematic Universe (MCU) ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ได้เป็นเพียงการรวมตัวของสองตัวละครที่ได้รับความนิยมสูงสุดจากฝั่ง Fox เท่านั้น แต่ยังเป็นการนำเสนอภาพยนตร์เรท R เรื่องแรกอย่างเป็นทางการของ Marvel Studios ซึ่งถือเป็นการทลายกำแพงขนบเดิมๆ และส่งสัญญาณถึงทิศทางใหม่ที่กล้าได้กล้าเสียยิ่งขึ้น การกลับมาของไรอัน เรย์โนลด์ส ในบทเดดพูล และฮิวจ์ แจ็คแมน ในบทวูล์ฟเวอรีน ภายใต้การกำกับของชอว์น เลวี จึงเป็นมากกว่าภาพยนตร์แอ็กชันตลกขบขัน แต่คือการสำรวจแก่นแท้ของความเป็นฮีโร่ การลบล้าง และการสร้างตัวตนขึ้นใหม่ ท่ามกลางความโกลาหลของพหุจักรวาลที่กำลังล่มสลาย
ภาพรวมและความรู้สึกแรก

เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นเมื่อ เวด วิลสัน (เดดพูล) ได้ละทิ้งชีวิตทหารรับจ้างปากเสียมาใช้ชีวิตอย่างสงบสุข แต่แล้วชะตากรรมของโลกที่เขาจากมาก็แขวนอยู่บนเส้นด้าย ทำให้เขาถูกดึงกลับเข้าสู่วังวนแห่งความรุนแรงอีกครั้งโดยองค์กรพิทักษ์พหุจักรวาล ภารกิจของเขาคือการจับคู่กับวูล์ฟเวอรีนที่ไม่เต็มใจอย่างยิ่งยวด เพื่อเผชิญหน้ากับภัยคุกคามระดับพหุจักรวาลที่อาจลบทุกสิ่งให้หายไป ความรู้สึกแรกหลังชมจบคือความรู้สึกเหมือนได้ปลดปล่อย ภาพยนตร์เรื่องนี้คือลมหายใจที่สดใหม่และรุนแรงซึ่งจักรวาล MCU โหยหามานาน มันทั้งตลกขบขันอย่างป่าเถื่อน ดิบเถื่อนอย่างสมศักดิ์ศรีเรท R และในขณะเดียวกันก็มีหัวใจและแก่นสารทางอารมณ์ที่ลึกซึ้งซ่อนอยู่ภายใต้ความโกลาหลนั้น เป็นการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างการคารวะอดีตและการวิพากษ์วิจารณ์ปัจจุบันของแฟรนไชส์ได้อย่างชาญฉลาด
บทวิจารณ์เชิงลึก
การวิเคราะห์ Deadpool & Wolverine จำเป็นต้องมองให้ลึกกว่าฉากแอ็กชันที่ดุเดือดและมุกตลกที่ทำลายกำแพงที่สี่ เพราะหัวใจของมันคือการสำรวจสภาวะจิตใจของตัวละครที่แตกสลาย และการตั้งคำถามต่อความหมายของการเป็น “ฮีโร่” ในโลกที่ไม่มีเส้นแบ่งระหว่างความดีและความชั่วที่ชัดเจนอีกต่อไป
โครงเรื่องและบท (Script & Plot)
บทภาพยนตร์เรื่องนี้นับเป็นความอัจฉริยะในการจัดการกับความซับซ้อนของพหุจักรวาลที่เคยเป็นดาบสองคมของ MCU มาก่อนหน้านี้ แนวคิดเรื่อง “Anchor Beings” หรือ “ตัวตนผู้ยึดเหนี่ยว” ที่การตายของพวกเขาจะส่งผลให้จักรวาลนั้นๆ ล่มสลาย ไม่เพียงแต่สร้างเหตุผลที่หนักแน่นให้กับการกลับมาของวูล์ฟเวอรีนหลังจากบทสรุปอันงดงามใน Logan แต่ยังยกระดับเดิมพันให้สูงขึ้นไปอีกขั้น มันเป็นการยอมรับความตายของตัวละครนั้นอย่างให้เกียรติ แต่ในขณะเดียวกันก็เปิดประตูสู่ความเป็นไปได้ใหม่ๆ ผ่านตัวตนจากต่างมิติ บทภาพยนตร์ที่ร่วมเขียนโดยไรอัน เรย์โนลด์สเอง มีความเข้าใจในตัวละครเดดพูลอย่างลึกซึ้ง การทำลายกำแพงที่สี่ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือสร้างเสียงหัวเราะ แต่ยังถูกใช้เพื่อวิพากษ์วิจารณ์การตัดสินใจต่างๆ ของ Marvel Studios และแม้กระทั่งตัวภาพยนตร์เองอย่างเจ็บแสบ โครงเรื่องจึงเปรียบเสมือนกระจกที่สะท้อนให้เห็นถึงความสับสนวุ่นวายของแฟรนไชส์ในปัจจุบัน และเสนอแนวทางการ “กอบกู้” ผ่านการยอมรับความผิดพลาดและเริ่มต้นใหม่ด้วยความบ้าคลั่งอย่างมีเป้าหมาย
นี่คือภาพยนตร์ที่ใช้ความโกลาหลของพหุจักรวาลเพื่อจัดระเบียบจักรวาลของตัวเอง มันทำลายเพื่อสร้างสรรค์ และหัวเราะเยาะในขณะที่กำลังเยียวยาบาดแผลของแฟรนไชส์
การแสดงและตัวละคร (Casting & Character)
ปฏิเสธไม่ได้ว่าเคมีระหว่างไรอัน เรย์โนลด์ส และฮิวจ์ แจ็คแมน คือหัวใจสำคัญที่ขับเคลื่อนภาพยนตร์เรื่องนี้ เรย์โนลด์สได้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับเดดพูลอย่างสมบูรณ์แบบ เขาส่งมอบความกวนประสาท ความเปราะบาง และความโกลาหลของตัวละครออกมาได้อย่างไร้ที่ติ ในขณะที่ฮิวจ์ แจ็คแมน กลับมาในบทวูล์ฟเวอรีนที่ไม่ใช่คนเดิมที่เราเคยรู้จักจาก Logan นี่คือโลแกนในเวอร์ชันที่เหนื่อยล้า สิ้นหวัง และอาจจะขี้ขลาดกว่าที่เคย การตีความใหม่นี้เปิดพื้นที่ให้นักแสดงได้สำรวจมิติใหม่ๆ ของตัวละครที่ติดอยู่กับภาพลักษณ์วีรบุรุษมานาน การปะทะกันระหว่างพลังงานที่ล้นเหลือของเดดพูลและความเหนื่อยหน่ายของวูล์ฟเวอรีนได้สร้างไดนามิกที่น่าสนใจ มันคือการสะท้อนภาพของแฟนด้อมที่แตกออกเป็นสองขั้ว ฝ่ายหนึ่งคือความกระตือรือร้นต่อสิ่งใหม่ๆ และอีกฝ่ายคือความโหยหาอดีตที่รุ่งโรจน์ การเดินทางร่วมกันของทั้งสองจึงไม่ใช่แค่ภารกิจกู้โลก แต่เป็นการเดินทางเพื่อค้นหาความหมายของการมีชีวิตอยู่ต่อไป เมื่อโลกที่เคยรู้จักได้พังทลายลงไปแล้ว
งานสร้างและองค์ประกอบศิลป์ (Production Value)
ผู้กำกับชอว์น เลวี สร้างสมดุลระหว่างความ “ดิบ เถื่อน และสมจริง” กับความเหนือจริงของโลกซูเปอร์ฮีโร่ได้อย่างน่าทึ่ง งานภาพในเรื่องนี้มีความแตกต่างจากภาพยนตร์ MCU เรื่องอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด มันมีความหม่นหมองและรุนแรงกว่า แต่ก็ยังคงสีสันจัดจ้านในแบบฉบับของเดดพูล การออกแบบฉากแอ็กชันมีความสร้างสรรค์และโหดเหี้ยมสมกับเรท R การต่อสู้ไม่ได้เป็นเพียงการแสดงพลังพิเศษ แต่ยังเต็มไปด้วยเลือดและอารมณ์ความรู้สึกที่แท้จริง ดนตรีประกอบเป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบที่โดดเด่น การเลือกใช้เพลงที่ย้อนแย้งกับสถานการณ์บนจอสร้างอารมณ์ขันแบบตลกร้ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในภาพรวม งานสร้างของ Deadpool & Wolverine สะท้อนถึงความตั้งใจที่จะฉีกกรอบเดิมๆ ของ Marvel Studios และมอบประสบการณ์ที่แตกต่างและเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นให้กับผู้ชม ซึ่งเป็นทิศทางที่จำเป็นอย่างยิ่งในยุคที่ตลาดซูเปอร์ฮีโร่กำลังถึงจุดอิ่มตัว
ฉาก/ไฮไลต์ที่น่าจดจำ
ฉากที่ตราตรึงและสรุปแก่นของภาพยนตร์ได้ดีที่สุดคือฉากที่เดดพูลและวูล์ฟเวอรีนเดินทางมาถึง “The Void” หรือ “ดินแดนแห่งความว่างเปล่า” ที่ซึ่งทุกสิ่งที่ถูกลบออกจากเส้นเวลาศักดิ์สิทธิ์จะถูกทิ้งไว้ที่นี่ มันคือสุสานของไทม์ไลน์ที่ล้มเหลวและตัวตนที่ไม่ถูกเลือก ที่นี่พวกเขาได้พบกับเศษซากของจักรวาล X-Men จากค่าย Fox ที่ถูกลืมเลือน ทั้งตัวละครที่ปรากฏตัวเพียงไม่กี่นาที ไปจนถึงฉากหลังจากภาพยนตร์เก่าๆ ที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างสมจริง ภาพที่ทั้งสองเดินผ่านซากปรักหักพังของ “อดีต” เป็นภาพสะท้อนเชิงสัญลักษณ์ของการที่ MCU กำลังจัดการกับมรดกที่ได้รับมาจาก Fox มันคือการยอมรับ การคารวะ และการร่ำลาไปพร้อมๆ กัน ฉากนี้ไม่ได้มีไว้เพื่อแฟนเซอร์วิสเท่านั้น แต่มันตั้งคำถามกับผู้ชมว่า “อะไรคือคุณค่าของเรื่องราวที่ถูกลืม?” และ “การลบอดีตทิ้งไป จะทำให้ปัจจุบันมีความหมายขึ้นจริงหรือ?” เป็นฉากที่ทั้งตลกขบขันและเศร้าสร้อยในเวลาเดียวกัน
สิ่งที่ชอบและไม่ชอบ
- สิ่งที่ชอบ: เคมีที่เข้ากันอย่างสมบูรณ์แบบระหว่างเรย์โนลด์สและแจ็คแมน ซึ่งเป็นเสาหลักของเรื่องอย่างแท้จริง
- สิ่งที่ชอบ: การใช้พหุจักรวาลอย่างชาญฉลาดเพื่อแก้ไขปัญหาความต่อเนื่องของเรื่องราว และใช้เป็นเครื่องมือในการวิพากษ์วิจารณ์ตัวเอง
- สิ่งที่ชอบ: ความกล้าหาญในการนำเสนอภาพยนตร์เรท R ที่มีความรุนแรงและอารมณ์ขันแบบผู้ใหญ่ ซึ่งเป็นการฉีกแนวทางเดิมๆ ของ MCU
- สิ่งที่ไม่ชอบ: การพึ่งพามุกตลกอ้างอิงและแฟนเซอร์วิสในบางช่วงอาจทำให้ผู้ชมทั่วไปที่ไม่ได้ติดตามมาอย่างยาวนานรู้สึกเข้าไม่ถึง
- สิ่งที่ไม่ชอบ: โครงเรื่องหลักในบางครั้งอาจถูกบดบังด้วยความวุ่นวายของฉากแอ็กชันและมุกตลกที่ใส่เข้ามาอย่างไม่หยุดยั้ง
| องค์ประกอบ | การวิเคราะห์ | ประเด็นที่น่าขบคิด |
|---|---|---|
| โครงเรื่องและบท | ใช้กลไกพหุจักรวาลเพื่อ “ซ่อมแซม” และ “วิจารณ์” จักรวาลภาพยนตร์ไปพร้อมกัน มีความซับซ้อนแต่ก็ตระหนักรู้ในตัวเองสูง | การทำลายล้างเพื่อสร้างสรรค์สิ่งใหม่เป็นสิ่งที่จำเป็นหรือไม่? |
| การแสดงและเคมี | ไดนามิกที่สมบูรณ์แบบระหว่างความโกลาหลของเดดพูลและความเหนื่อยหน่ายของวูล์ฟเวอรีน เป็นหัวใจหลักที่ขับเคลื่อนเรื่องราว | ตัวตนที่แตกต่างกันสุดขั้วสามารถเยียวยากันและกันได้จริงหรือ? |
| งานสร้างและฉากแอ็กชัน | โทนภาพดิบเถื่อนและรุนแรงสมกับเรท R สร้างความแตกต่างจากหนัง MCU เรื่องอื่นอย่างชัดเจน ฉากต่อสู้มีความสร้างสรรค์และดุเดือด | ความรุนแรงในภาพยนตร์สามารถสะท้อนความเปราะบางภายในได้หรือไม่? |
| อารมณ์ขันและสไตล์ | มุกตลกทำลายกำแพงที่สี่และเสียดสีวงการภาพยนตร์อย่างเจ็บแสบ เป็นมากกว่าความตลก แต่คือเครื่องมือวิพากษ์วิจารณ์ | การหัวเราะเยาะโศกนาฏกรรมคือกลไกการป้องกันตัวของมนุษย์ใช่หรือไม่? |
บทสรุปและคะแนน
สรุปแล้ว Deadpool & Wolverine เป็นมากกว่าหนังซูเปอร์ฮีโร่ภาคต่อ แต่มันคือแถลงการณ์ คือจดหมายรักที่แฝงด้วยคำวิจารณ์ต่อจักรวาลที่มันสังกัดอยู่ ภาพยนตร์เรื่องนี้ประสบความสำเร็จในการเป็น “ผู้กอบกู้” ไม่ใช่ด้วยการสร้างวีรบุรุษที่สมบูรณ์แบบ แต่ด้วยการยอมรับในความไม่สมประกอบ ความผิดพลาด และความบ้าคลั่งของตัวละครและโลกของพวกเขา มันคือการฉีดยาอะดรีนาลีนเข็มใหญ่ที่จักรวาล Marvel ต้องการอย่างเร่งด่วน และอาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่จะนำไปสู่ยุคใหม่ที่กล้าหาญและคาดเดายากกว่าเดิม ไม่ว่าอนาคตของ MCU จะเป็นอย่างไร ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ทิ้งรอยแผลเป็นที่งดงามเอาไว้ ซึ่งจะถูกจดจำไปอีกนาน
คะแนน (Score)
คะแนนรีวิว
8.5/10
การผสมผสานที่ลงตัวระหว่างแอ็กชันดิบเถื่อน อารมณ์ขันสุดขั้ว และหัวใจที่คาดไม่ถึง เป็นภาพยนตร์ที่ทั้งทำลายและเยียวยาจักรวาล Marvel ไปพร้อมกัน
คำแนะนำ (Recommendation)
ภาพยนตร์เรื่องนี้เหมาะสำหรับผู้ชมที่เติบโตมากับภาพยนตร์ X-Men ยุคแรกและติดตาม MCU มาอย่างยาวนาน ผู้ที่ชื่นชอบอารมณ์ขันแบบเสียดสีและไม่เกรงกลัวความรุนแรงจะได้รับความบันเทิงอย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตาม ผู้ชมที่คาดหวังภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่ตามขนบดั้งเดิมที่สดใสและเปี่ยมด้วยแรงบันดาลใจ อาจต้องปรับทัศนคติก่อนรับชม เพราะนี่คือการเดินทางสู่ด้านมืดที่เต็มไปด้วยความบ้าคลั่งและเสียงหัวเราะ
หากตัวตนของเราถูกผูกติดอยู่กับเส้นเวลาเพียงหนึ่งเดียว การทำลายเส้นเวลานั้นเพื่อสร้างสิ่งใหม่ จะใช่การปลดปล่อยหรือเป็นเพียงการลบตัวตนให้สิ้นซาก?
