“`html





รีวิว Jurassic World Rebirth: Scarlett Johansson นำทัพลุยหนัง Jurassic World ภาคใหม่


Scarlett Johansson นำทัพลุยหนัง Jurassic World ภาคใหม่

ภาพรวมและความรู้สึกแรก

Scarlett Johansson นำทัพลุยหนัง Jurassic World ภาคใหม่ - new-jurassic-world-casting-news

การกลับมาของแฟรนไชส์ไดโนเสาร์ในตำนานครั้งนี้ ถือเป็นการ “เกิดใหม่” สมชื่อ Jurassic World Rebirth อย่างแท้จริง ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ได้เป็นเพียงภาคต่อที่เดินตามรอยความสำเร็จเดิมๆ แต่คือความพยายามที่จะฟื้นคืนจิตวิญญาณแห่งความตื่นตะลึงและความน่าเกรงขามของธรรมชาติ ที่เคยทำให้ Jurassic Park (1993) กลายเป็นปรากฏการณ์ การที่ Scarlett Johansson นำทัพลุยหนัง Jurassic World ภาคใหม่ ในฐานะตัวละครหลัก ถือเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนถึงการเปลี่ยนแปลงทิศทางของเรื่องราวให้มีความเข้มข้นและจริงจังมากขึ้น ภายใต้การกำกับของ Gareth Edwards ผู้สร้างชื่อจากภาพยนตร์ที่เน้นบรรยากาศและความยิ่งใหญ่ของสรรพสิ่ง ภาพยนตร์เรื่องนี้จึงเปรียบเสมือนการเดินทางกลับสู่รากเหง้า ที่ซึ่งมนุษย์เป็นเพียงส่วนเล็กๆ ในโลกอันกว้างใหญ่และอันตราย

บทวิจารณ์เชิงลึก

Jurassic World Rebirth วางตัวเองเป็นภาคต่อแบบสแตนด์อโลน (Standalone Sequel) ที่เกิดขึ้น 5 ปีหลังจากเหตุการณ์ใน Jurassic World Dominion (2022) การตัดสินใจนี้ทำให้ภาพยนตร์สามารถสร้างเรื่องราวและตัวละครชุดใหม่ได้อย่างอิสระ โดยไม่ต้องผูกมัดกับปมปัญหาเดิมๆ การกลับมาของ David Koepp ผู้เขียนบทจากภาพยนตร์สองภาคแรก คือหัวใจสำคัญที่ทำให้หนังเรื่องนี้มีกลิ่นอายของความคลาสสิก แต่ในขณะเดียวกันก็ผลักดันประเด็นทางจริยธรรมไปสู่จุดที่ซับซ้อนกว่าเดิม มันไม่ใช่แค่เรื่องของการหนีไดโนเสาร์อีกต่อไป แต่เป็นการตั้งคำถามถึงสิทธิ์ของมนุษย์ในการควบคุมและใช้ประโยชน์จากธรรมชาติ เพื่อความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์ตนเอง

โครงเรื่องและบท (Script & Plot)

แกนกลางของเรื่องราวใน Jurassic World Rebirth คือภารกิจที่ดูเหมือนเปี่ยมไปด้วยมนุษยธรรม: การสกัดตัวอย่างพันธุกรรมจากไดโนเสาร์เพื่อพัฒนายารักษาโรคหัวใจ แต่ภายใต้เป้าหมายอันสูงส่งนี้ บทภาพยนตร์ของ David Koepp ได้ซ่อนเร้นคำถามเชิงปรัชญาที่แหลมคมเอาไว้ พล็อตเรื่องไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยการไล่ล่าสุดระทึกเพียงอย่างเดียว แต่ยังสำรวจ “เขตแดนสีเทา” ทางศีลธรรม เมื่อความก้าวหน้าทางการแพทย์ต้องแลกมากับการรุกล้ำชีวิตของสิ่งมีชีวิตดึกดำบรรพ์ที่ถูกปลุกให้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง

ฉากหลังของเรื่องคือบริเวณเส้นศูนย์สูตร ซึ่งเป็นสภาพอากาศสุดท้ายที่ไดโนเสาร์สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ แนวคิดนี้สะท้อนภาพของโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงจากภาวะโลกร้อนอย่างแยบยล ทำให้เกาะที่ทีมของ Zora Bennett (Scarlett Johansson) เดินทางไป ไม่ใช่แค่สถานที่อันตราย แต่เป็นเสมือน “ป้อมปราการสุดท้าย” ของธรรมชาติที่ยังไม่ถูกมนุษย์ทำลายจนสิ้นซาก โครงเรื่องจึงเป็นการปะทะกันระหว่าง “ความจำเป็น” ของมนุษย์ กับ “สิทธิ์ในการดำรงอยู่” ของสิ่งมีชีวิตอื่น การที่ทีมต้องเผชิญหน้ากับไดโนเสาร์ภูเขาขนาดยักษ์ 3 ตัว ไม่ใช่แค่การสร้างอุปสรรคทางกายภาพ แต่เป็นสัญลักษณ์ของการเผชิญหน้ากับพลังของธรรมชาติที่มนุษย์ไม่อาจควบคุมได้ การช่วยเหลือครอบครัวที่เรืออับปางที่ติดอยู่บนเกาะ ยังเพิ่มมิติของความเป็นมนุษย์เข้ามา ทำให้ตัวละครต้องเลือกระหว่างการทำภารกิจให้สำเร็จลุล่วง กับการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ซึ่งเป็นการทดสอบจริยธรรมของพวกเขาไปในตัว

ภาพยนตร์เรื่องนี้ถูกเปรียบเปรยว่าเป็น “จดหมายรัก” ถึงผลงานดั้งเดิมของ Steven Spielberg ซึ่งสะท้อนผ่านการให้ความสำคัญกับบรรยากาศ ความน่าเกรงขาม และการตั้งคำถามถึงผลกระทบจากการกระทำของมนุษย์ มากกว่าการเน้นฉากแอ็คชั่นเพียงอย่างเดียว

การแสดงและตัวละคร (Casting & Character)

การเลือก Scarlett Johansson มารับบท Zora Bennett ถือเป็นการตัดสินใจที่ยอดเยี่ยม ตัวละครของเธอเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านปฏิบัติการลับและอดีตทหารรับจ้าง ซึ่งทำให้เธอมีความซับซ้อนมากกว่าตัวเอกในภาคก่อนๆ Zora ไม่ใช่ฮีโร่ผู้รักธรรมชาติ แต่เป็นมืออาชีพที่ถูกขับเคลื่อนด้วยเป้าหมายและอาจมีอดีตที่คลุมเครือ การแสดงของ Johansson ถ่ายทอดความแข็งแกร่งภายนอกที่ซ่อนความเปราะบางและความขัดแย้งภายในได้อย่างมีมิติ เธอคือภาพสะท้อนของมนุษยชาติยุคใหม่ ที่ต้องสร้างเกราะป้องกันตัวเองเพื่อความอยู่รอดในสนามรบที่เรียกว่า “ความก้าวหน้า”

ตัวละครของ Zora ไม่ได้ถูกนำเสนอในฐานะผู้กอบกู้โลก แต่เป็นฟันเฟืองหนึ่งในระบบที่ใหญ่กว่า เธอเป็นผู้นำทีมที่ต้องตัดสินใจเรื่องความเป็นความตายภายใต้แรงกดดันมหาศาล ความสัมพันธ์ของเธอกับไดโนเสาร์จึงไม่ใช่ความผูกพัน แต่เป็นความสัมพันธ์เชิงวัตถุประสงค์ (Objective Relationship) ที่มองพวกมันเป็น “แหล่งทรัพยากร” สำหรับเป้าหมายที่ใหญ่กว่า ซึ่งจุดนี้เองที่สร้างความตึงเครียดทางศีลธรรมให้กับตัวละครตลอดทั้งเรื่อง

นักแสดงสมทบอย่าง Mahershala Ali, Jonathan Bailey และ Rupert Friend ก็ช่วยเสริมทัพให้ภาพยนตร์มีความหนักแน่นมากขึ้น แต่ละคนเป็นตัวแทนของมุมมองที่แตกต่างกันในทีม บางคนอาจมองภารกิจนี้เป็นเพียงหน้าที่ ในขณะที่บางคนอาจเริ่มตั้งคำถามถึงสิ่งที่พวกเขากำลังทำ เคมีระหว่างนักแสดงทำให้ทีมปฏิบัติการนี้ดูสมจริงและน่าเชื่อถือ ทำให้ผู้ชมรู้สึกผูกพันและเอาใจช่วยพวกเขาในการเอาชีวิตรอดบนเกาะที่เต็มไปด้วยภยันตราย

งานสร้างและองค์ประกอบศิลป์ (Production Value)

การได้ Gareth Edwards มานั่งแท่นผู้กำกับ คือการคืนลมหายใจแห่งความยิ่งใหญ่และน่าสะพรึงกลัวให้กับเหล่าไดโนเสาร์ Edwards มีความสามารถพิเศษในการสร้างสเกลของภาพที่ทำให้มนุษย์ดูตัวเล็กและไร้ความหมายเมื่อเทียบกับสิ่งที่พวกเขาเผชิญหน้า ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ประหลาดไคจูใน Godzilla หรือยาน Death Star ใน Rogue One เขานำเทคนิคเดียวกันมาใช้กับ Jurassic World Rebirth ได้อย่างทรงพลัง มุมกล้องมักจะจับภาพจากระดับสายตาของมนุษย์ที่แหงนมองขึ้นไปยังไดโนเสาร์ขนาดยักษ์ ทำให้ผู้ชมรู้สึกถึงความกดดันและน่าเกรงขามอย่างแท้จริง

งานภาพถ่ายทำในสถานที่จริงอย่างประเทศไทย มอลตา และสหราชอาณาจักร ทำให้โลกในภาพยนตร์ดูมีชีวิตชีวาและจับต้องได้ ป่าดิบชื้นของไทยสร้างบรรยากาศของเกาะลึกลับที่เต็มไปด้วยอันตราย ในขณะที่สถาปัตยกรรมเก่าแก่ของมอลตาอาจถูกใช้เป็นฉากของศูนย์วิจัยที่ถูกทิ้งร้าง การผสมผสานระหว่างสถานที่จริงและงานสร้างฉากทำให้โลกของ Jurassic World ภาคนี้ดูสมจริงกว่าครั้งไหนๆ

ดนตรีประกอบและงานเสียงยังคงเป็นองค์ประกอบสำคัญที่สร้างความตึงเครียดและความตื่นเต้น เสียงคำรามของไดโนเสาร์ที่ก้องกังวานไปทั่วป่า หรือความเงียบสงัดที่น่าอึดอัดก่อนการปรากฏตัวของนักล่า ล้วนถูกออกแบบมาเพื่อกระตุ้นสัญชาตญาณความกลัวของผู้ชม งานสร้างทั้งหมดนี้หลอมรวมกันเพื่อมอบประสบการณ์ที่ใกล้เคียงกับความรู้สึกของผู้ชมที่ได้ดู Jurassic Park เป็นครั้งแรก นั่นคือความรู้สึกทึ่งในความมหัศจรรย์และความหวาดกลัวต่อพลังของธรรมชาติไปพร้อมๆ กัน

ฉากเด่นที่น่าจดจำ

หนึ่งในฉากที่ตราตรึงที่สุด คือการเผชิญหน้าครั้งแรกของทีมกับ “ไดโนเสาร์ภูเขา” ตัวหนึ่ง หลังจากที่ทีมเจาะลึกเข้าไปในใจกลางเกาะ ท่ามกลางหมอกหนาและเสียงของป่าที่เงียบสงัดผิดปกติ พวกเขาก็ได้พบกับสิ่งที่ดูเหมือนเนินเขาขนาดย่อมที่ปกคลุมด้วยมอสส์และพืชพันธุ์โบราณ แต่แล้วเนินเขานั้นก็เริ่มขยับตัว เผยให้เห็นดวงตาขนาดมหึมาที่กระพริบช้าๆ ก่อนที่ร่างทั้งร่างจะค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นบดบังแสงอาทิตย์จนมืดมิด

Gareth Edwards กำกับฉากนี้ได้อย่างยอดเยี่ยม เขาไม่ได้ใช้การตัดต่อที่รวดเร็วหรือดนตรีที่บีบคั้น แต่เลือกใช้ความเงียบและความเชื่องช้าในการสร้างความตึงเครียด กล้องจับจ้องไปที่ใบหน้าของ Zora และทีมงานที่ตกตะลึงจนพูดไม่ออก มีเพียงเสียงลมหายใจและเสียงการเคลื่อนไหวอันหนักอึ้งของสิ่งมีชีวิตที่อยู่ตรงหน้า ฉากนี้ไม่ได้น่ากลัวเพราะความดุร้าย แต่เพราะขนาดและความยิ่งใหญ่ที่อยู่เหนือจินตนาการ มันคือช่วงเวลาที่มนุษย์ตระหนักได้อย่างแท้จริงว่าตนเองเป็นเพียงผู้อาศัยชั่วคราวบนดาวเคราะห์ดวงนี้ และพลังที่แท้จริงของธรรมชาตินั้นยิ่งใหญ่เกินกว่าจะควบคุมหรือทำความเข้าใจได้

สิ่งที่ชอบและไม่ชอบ

แม้ภาพยนตร์จะได้รับเสียงวิจารณ์ที่หลากหลาย แต่ก็มีจุดเด่นและจุดที่น่าพิจารณาหลายประการ

  • สิ่งที่ชอบ:
    • การกลับสู่รากเหง้า: การนำ David Koepp กลับมาเขียนบท และการกำกับของ Gareth Edwards ทำให้หนังมีบรรยากาศของความลึกลับ น่าเกรงขาม และเน้นการสร้างความระทึกขวัญมากกว่าแอ็คชั่นที่ไม่จำเป็น ซึ่งเป็นหัวใจของภาคแรก
    • ตัวละครที่มีมิติ: Scarlett Johansson ในบท Zora Bennett เป็นตัวละครนำที่น่าสนใจ มีความซับซ้อนและไม่ขาวสะอาดจนเกินไป ทำให้การตัดสินใจของเธอมีน้ำหนักและน่าติดตาม
    • ประเด็นที่ลึกซึ้งขึ้น: ภาพยนตร์ไม่ได้หยุดอยู่แค่การเอาชีวิตรอด แต่ตั้งคำถามเชิงจริยธรรมเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์จากธรรมชาติเพื่อความอยู่รอดของมนุษย์ ซึ่งเป็นประเด็นที่ร่วมสมัยและชวนให้ขบคิด
  • สิ่งที่น่าพิจารณา:
    • ความคาดหวังจากแฟนๆ: ด้วยการเป็นภาคที่ 7 ของแฟรนไชส์ โครงเรื่องบางส่วนอาจยังคงเดินตามสูตรสำเร็จที่คุ้นเคย ซึ่งอาจทำให้ผู้ชมบางส่วนรู้สึกว่าคาดเดาได้ง่าย
    • สมดุลระหว่างปรัชญาและแอ็คชั่น: การที่หนังพยายามจะใส่ประเด็นที่ลึกซึ้งเข้ามา อาจทำให้จังหวะของเรื่องช้าลงในบางช่วง ซึ่งอาจไม่ถูกใจผู้ชมที่คาดหวังฉากแอ็คชั่นที่ต่อเนื่องและรวดเร็ว

บทสรุปและคะแนน

Jurassic World Rebirth คือการก้าวเดินครั้งสำคัญและจำเป็นสำหรับแฟรนไชส์นี้ เป็นการพิสูจน์ว่าเรื่องราวของไดโนเสาร์และมนุษย์ยังคงมีแง่มุมใหม่ๆ ให้สำรวจ การนำ Scarlett Johansson เข้ามาเป็นผู้นำทัพ พร้อมกับการกำกับที่เน้นบรรยากาศของ Gareth Edwards และบทภาพยนตร์ที่กลับไปหาแก่นแท้ของ David Koepp ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นการ “เกิดใหม่” ที่คู่ควร แม้จะได้รับเสียงวิจารณ์ที่แตกออกเป็นสองฝั่ง แต่ความสำเร็จด้านรายได้ทั่วโลกกว่า 868 ล้านดอลลาร์ ก็เป็นเครื่องยืนยันว่าผู้ชมยังคงโหยหาความมหัศจรรย์และความน่าสะพรึงกลัวของโลกดึกดำบรรพ์ นี่คือภาพยนตร์ที่ไม่ได้มอบแค่ความบันเทิง แต่ยังทิ้งตะกอนความคิดเกี่ยวกับตำแหน่งแห่งที่ของมนุษย์ในโลกธรรมชาติอันกว้างใหญ่ไพศาล

หากการทำลายธรรมชาติสามารถต่อชีวิตมนุษย์ได้หนึ่งคน เส้นแบ่งทางศีลธรรมของเราควรขีดไว้ที่ใด?

คะแนน (Score)

7/10

การกลับมาที่ทรงพลังและชวนขบคิด แม้จะยังคงมีเงาของภาคก่อนๆ อยู่บ้าง แต่ก็เป็นการฟื้นคืนจิตวิญญาณที่แฟนๆ รอคอยได้อย่างน่าพอใจ

คำแนะนำ (Recommendation)

ภาพยนตร์เรื่องนี้เหมาะสำหรับ:

  • แฟนเดนตายของแฟรนไชส์ Jurassic Park ที่คิดถึงบรรยากาศความตื่นเต้นและความน่าเกรงขามแบบภาคแรก
  • ผู้ชมที่ชื่นชอบผลงานของผู้กำกับ Gareth Edwards ซึ่งเน้นงานภาพที่ยิ่งใหญ่และบรรยากาศที่สมจริง
  • ผู้ที่มองหาภาพยนตร์ไซไฟระทึกขวัญที่ไม่ได้มีแค่ฉากแอ็คชั่น แต่ยังกระตุ้นให้เกิดคำถามเชิงปรัชญาและจริยธรรม



“`

บทความรีวิวมาใหม่