“`html





รีวิว Kingdom of the Planet of the Apes ตำนานบทใหม่


ภาพยนตร์เรื่อง Kingdom of the Planet of the Apes หรือ อาณาจักรแห่งพิภพวานร คือการเปิดศักราชใหม่ของแฟรนไชส์ที่พาผู้ชมเดินทางสู่อนาคตอันไกลโพ้น หลายชั่วอายุขัยหลังยุคของซีซาร์ วานรได้กลายเป็นสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาที่ครองโลก ในขณะที่มนุษย์ถดถอยสู่สภาวะดั้งเดิม การเดินทางของวานรหนุ่มนาม “โนอา” ได้จุดประกายคำถามสำคัญเกี่ยวกับมรดก ประวัติศาสตร์ และธรรมชาติของอำนาจ ซึ่งจะกำหนดชะตากรรมของทั้งสองเผ่าพันธุ์ไปตลอดกาล

  • การเริ่มต้นไตรภาคใหม่: ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นการปูทางสู่ไตรภาคใหม่ โดยนำเสนอโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงหลังยุคของซีซาร์ พร้อมตัวละครและกลุ่มวานรใหม่ๆ
  • ประเด็นเชิงปรัชญา: หนังเจาะลึกถึงการตีความประวัติศาสตร์ การบิดเบือนความจริงเพื่อสร้างอำนาจ และการแสวงหาความรู้ที่แท้จริง
  • งานภาพและเทคนิคพิเศษสุดตระการตา: เทคโนโลยีโมชันแคปเจอร์และการสร้างสรรค์โลกหลังการล่มสลายมีความสมจริงและน่าทึ่ง ทำให้สังคมวานรดูมีชีวิตชีวา
  • ตัวละครมนุษย์ที่มีมิติ: บทบาทของ “เมย์” มนุษย์หญิงสาว ไม่ได้เป็นเพียงตัวประกอบ แต่เป็นกุญแจสำคัญที่ขับเคลื่อนเรื่องราวและซ่อนปมปริศนาที่น่าติดตาม

รีวิว Kingdom of the Planet of the Apes ตำนานบทใหม่

ภาพรวมและความรู้สึกแรก

รีวิว Kingdom of the Planet of the Apes ตำนานบทใหม่ - review-kingdom-of-the-planet-of-the-apes

Kingdom of the Planet of the Apes เปิดฉากตำนานบทใหม่ได้อย่างน่าสนใจและมีชั้นเชิง แม้จะดำเนินเรื่องในจังหวะที่เนิบนาบกว่าไตรภาคก่อน แต่ก็ทดแทนด้วยการสร้างโลกที่กว้างใหญ่และงดงามน่าค้นหา ภาพยนตร์พาผู้ชมสำรวจสังคมวานรที่แตกแขนงออกไปหลังการจากไปของซีซาร์ เผยให้เห็นการตีความคำสอนที่แตกต่างกันไปตามแต่ละเผ่าพันธุ์ และตั้งคำถามถึงแก่นแท้ของอารยธรรม ความรู้ และอำนาจ นี่ไม่ใช่เพียงหนังไซไฟผจญภัย แต่เป็นการเดินทางเชิงปรัชญาที่สำรวจธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต และวังวนของประวัติศาสตร์ที่มักซ้ำรอยเดิม ไม่ว่าผู้ปกครองจะเป็นมนุษย์หรือวานรก็ตาม

บทวิจารณ์เชิงลึก

การกลับมาของแฟรนไชส์พิภพวานรในครั้งนี้ภายใต้การกำกับของ เวส บอล ได้สร้างความสดใหม่ให้กับจักรวาลได้อย่างน่าชื่นชม แม้จะแบกรับความคาดหวังอันหนักอึ้งจากไตรภาคของซีซาร์ที่ทำไว้ได้อย่างยอดเยี่ยม แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็สามารถยืนหยัดได้ด้วยตัวเองผ่านการเล่าเรื่องที่มุ่งเน้นไปที่การผจญภัยและการค้นพบตัวตนของ “โนอา” วานรหนุ่มที่ต้องออกจากเผ่าอันสงบสุขเพื่อเผชิญหน้ากับโลกภายนอกที่โหดร้ายและซับซ้อนกว่าที่เคยจินตนาการ

โครงเรื่องและบท (Script & Plot)

บทภาพยนตร์โดดเด่นในการสร้างโลก (World-building) ที่น่าเชื่อถือ สังคมวานรไม่ได้มีเพียงหนึ่งเดียวอีกต่อไป แต่แบ่งออกเป็นหลายเผ่าที่มีวัฒนธรรม ความเชื่อ และวิถีชีวิตที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เช่น “เผ่าอินทรี” ของโนอาที่ใช้ชีวิตอย่างสันโดษและผูกพันกับธรรมชาติ หรืออาณาจักรของ “พร็อกซิมัส ซีซาร์” วานรผู้ทะเยอทะยานที่บิดเบือนคำสอนของซีซาร์ในอดีตเพื่อสร้างอาณาจักรและรวบรวมอำนาจ การเดินทางของโนอาจึงเปรียบเสมือนการเปิดแผนที่โลกใบใหม่ที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งทางความคิด

หัวใจสำคัญของเรื่องราวคือการตั้งคำถามต่อ “ประวัติศาสตร์” ที่ถูกบอกเล่า โนอาเติบโตมากับเรื่องเล่าของเผ่าตนเอง แต่เมื่อได้พบกับ “รากา” วานรผู้คงแก่เรียน และ “เมย์” มนุษย์หญิงสาวผู้มีความลับซ่อนอยู่ เขาจึงเริ่มตระหนักว่าสิ่งที่เคยเชื่อมาตลอดอาจไม่ใช่ความจริงทั้งหมด การแสวงหาความรู้และความจริงเกี่ยวกับอดีตจึงกลายเป็นแกนหลักที่ขับเคลื่อนพล็อตไปข้างหน้า อย่างไรก็ตาม จุดอ่อนของบทภาพยนตร์คือการทิ้งปมบางอย่างไว้โดยไม่คลี่คลาย และตัวละครสมทบบางตัวยังขาดมิติเชิงลึก ทำให้เรื่องราวพุ่งเป้าไปที่ตัวเอกเป็นหลัก

การแสดงและตัวละคร (Casting & Character)

แม้จะอยู่ภายใต้เทคโนโลยีโมชันแคปเจอร์อันน่าทึ่ง แต่การแสดงที่ถ่ายทอดผ่านตัวละครวานรยังคงเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณ โอเวน ทีก ผู้รับบท “โนอา” สามารถถ่ายทอดพัฒนาการของตัวละครจากวานรหนุ่มผู้ไร้เดียงสาไปสู่ผู้นำที่ต้องแบกรับชะตากรรมของเผ่าพันธุ์ได้อย่างน่าเชื่อถือ สีหน้า แววตา และการเคลื่อนไหวของเขาสะท้อนความสับสน ความกลัว และความมุ่งมั่นออกมาได้อย่างชัดเจน

ในขณะที่ เควิน ดูแรนด์ ในบท “พร็อกซิมัส ซีซาร์” ก็สร้างตัวร้ายที่มีเสน่ห์และน่าเกรงขาม เขาไม่ใช่ตัวร้ายที่ชั่วร้ายโดยสมบูรณ์ แต่เป็นผู้นำที่มีวิสัยทัศน์และเป้าหมายชัดเจน แม้จะใช้วิธีการที่โหดร้ายก็ตาม ส่วน เฟรยา อัลลัน ในบท “เมย์” ถือเป็นตัวแทนของมนุษยชาติที่น่าสนใจ เธอมีความซับซ้อนและไม่ใช่เพียง “เด็กสาวผู้เปราะบาง” แต่เป็นตัวละครที่มีเป้าหมายของตัวเอง ซึ่งสร้างความตึงเครียดและทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และวานรในภาคนี้มีความน่าติดตามยิ่งขึ้น

งานสร้างและองค์ประกอบศิลป์ (Production Value)

งานสร้างคือจุดแข็งที่สุดของภาพยนตร์เรื่องนี้อย่างปฏิเสธไม่ได้ ทีมงานสร้างโลกหลังการล่มสลายที่ธรรมชาติกลับมาทวงคืนพื้นที่ได้อย่างงดงามและน่าเกรงขาม ซากปรักหักพังของอารยธรรมมนุษย์ที่ถูกปกคลุมด้วยต้นไม้และเถาวัลย์สร้างบรรยากาศที่ทั้งสวยงามและหดหู่ในเวลาเดียวกัน งานภาพ (Cinematography) ใช้มุมกล้องที่กว้างใหญ่เพื่อเน้นย้ำถึงความเวิ้งว้างของโลก และขนาดอันเล็กน้อยของตัวละครเมื่อเทียบกับธรรมชาติ

เทคนิคพิเศษด้าน CGI ถือเป็นมาตรฐานใหม่ของวงการ การสร้างสรรค์วานรแต่ละตัวมีความละเอียดสูง ขนแต่ละเส้น การขยับของกล้ามเนื้อ และแววตาที่สื่ออารมณ์ ล้วนทำออกมาได้อย่างสมจริงจนน่าทึ่ง ทำให้ผู้ชมสามารถเชื่อมโยงกับตัวละครเหล่านี้ได้อย่างสนิทใจ ดนตรีประกอบก็ช่วยเสริมสร้างบรรยากาศการผจญภัยและความยิ่งใหญ่ของเรื่องราวได้เป็นอย่างดี

“ประวัติศาสตร์เป็นเพียงเรื่องเล่าที่ถูกส่งต่อ และบางครั้ง… เรื่องเล่าที่ทรงพลังที่สุดก็ไม่ใช่เรื่องจริงเสมอไป”

ฉาก/ไฮไลต์ที่น่าจดจำ (Memorable Moments)

ฉากที่น่าจดจำที่สุดฉากหนึ่งคือตอนที่โนอาเดินทางมาถึงชายฝั่งและได้เห็นซากเรือเดินสมุทรขนาดยักษ์ที่ถูกทิ้งร้างเป็นครั้งแรก มันไม่ใช่แค่ภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจ แต่เป็นช่วงเวลาที่โนอาและผู้ชมได้ตระหนักถึงความยิ่งใหญ่ของอารยธรรมมนุษย์ที่เคยรุ่งเรืองและล่มสลายไป ฉากนี้สร้างความรู้สึกย้อนแย้งระหว่างความงดงามของธรรมชาติที่เข้าครอบครองกับความน่าเศร้าของสิ่งที่สูญหายไป มันเป็นภาพสะท้อนที่ทรงพลังถึงความไม่จีรังของอำนาจและอารยธรรม

อีกฉากที่น่าประทับใจคือการเผชิญหน้าทางความคิดระหว่างโนอากับพร็อกซิมัส ซีซาร์ ภายในห้องที่เต็มไปด้วยหนังสือและสิ่งประดิษฐ์ของมนุษย์ พร็อกซิมัสพยายามโน้มน้าวโนอาให้เห็นถึงความจำเป็นของการใช้ความรู้ของมนุษย์เพื่อสร้างอนาคตที่แข็งแกร่งให้แก่วานร ฉากนี้ไม่มีฉากแอ็กชันใดๆ แต่เต็มไปด้วยความตึงเครียดทางปรัชญาที่สำรวจแนวคิดเรื่องอำนาจ ความรู้ และการควบคุมประวัติศาสตร์

ตารางสรุปการวิเคราะห์องค์ประกอบภาพยนตร์ Kingdom of the Planet of the Apes
องค์ประกอบ บทวิเคราะห์ คะแนน (เต็ม 10)
โครงเรื่องและบท การสร้างโลกทำได้ยอดเยี่ยมและน่าสนใจ แต่การดำเนินเรื่องค่อนข้างช้า และมีบางประเด็นที่ถูกละเลยไป 7.5
การแสดงและตัวละคร ตัวละครหลักอย่างโนอาและเมย์มีพัฒนาการที่น่าติดตาม แต่ตัวละครสมทบยังขาดมิติที่น่าจดจำ 8.0
งานสร้างและเทคนิคพิเศษ โดดเด่นและสมบูรณ์แบบ เทคนิค CGI และการออกแบบฉากถือเป็นระดับแนวหน้าของวงการภาพยนตร์ 9.5
ประเด็นและสาระ ตั้งคำถามเชิงปรัชญาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ อำนาจ และความจริง ได้อย่างลึกซึ้งและชวนให้ขบคิด 9.0

สิ่งที่ชอบและไม่ชอบ

ภาพยนตร์เรื่องนี้มีทั้งจุดแข็งที่น่าชื่นชมและจุดอ่อนที่น่าสังเกต ซึ่งสามารถสรุปได้ดังนี้

  • สิ่งที่ชอบ:
    • การสร้างโลกที่ยิ่งใหญ่: การนำเสนอสังคมวานรที่หลากหลายและโลกที่ธรรมชาติทวงคืนพื้นที่ทำได้อย่างงดงามและน่าเชื่อถือ
    • งานภาพที่เหนือชั้น: เทคนิคพิเศษด้านภาพและเสียง โดยเฉพาะการสร้างตัวละครวานรด้วย CGI อยู่ในระดับที่น่าทึ่ง
    • ประเด็นที่ลึกซึ้ง: การสำรวจธีมเรื่องความจริง ประวัติศาสตร์ และการใช้อำนาจ ทำให้หนังมีมิติมากกว่าแค่ความบันเทิง
  • สิ่งที่ไม่ชอบ:
    • จังหวะการเล่าเรื่อง: ในช่วงแรก การดำเนินเรื่องค่อนข้างช้าและเน้นไปที่การปูพื้นฐาน ซึ่งอาจทำให้ผู้ชมบางส่วนรู้สึกเนือย
    • ตัวละครสมทบที่ขาดมิติ: ตัวละครรอบข้างโนอามีบทบาทค่อนข้างน้อยและไม่ได้รับการพัฒนาเท่าที่ควร
    • ฉากแอ็กชัน: แม้จะมีฉากต่อสู้ แต่ก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่หรือน่าตื่นเต้นเท่ากับไตรภาคก่อนหน้า เนื่องจากมุ่งเน้นไปที่การผจญภัยและการค้นพบมากกว่าสงคราม

บทสรุปและคะแนน

Kingdom of the Planet of the Apes คือการเปิดบทใหม่ที่แข็งแกร่งและมีศักยภาพสำหรับแฟรนไชส์พิภพวานร แม้อาจจะไม่สามารถก้าวข้ามความยอดเยี่ยมของไตรภาคซีซาร์ได้ในแง่ของความเข้มข้นทางอารมณ์ แต่ก็ประสบความสำเร็จในการขยายจักรวาลให้กว้างใหญ่ขึ้นและนำเสนอประเด็นเชิงปรัชญาที่หนักแน่นและชวนขบคิด นี่คือหนังไซไฟที่ไม่ได้ขายแค่ความตื่นตาตื่นใจของเทคนิคพิเศษ แต่ยังเชื้อเชิญให้ผู้ชมตั้งคำถามต่อโลกรอบตัวและธรรมชาติของมนุษย์ (และวานร) เอง

คะแนน (Score)

8/10

การเริ่มต้นใหม่ที่สง่างามและเปี่ยมด้วยวิสัยทัศน์ งานภาพระดับมหากาพย์ที่มาพร้อมกับคำถามเชิงปรัชญาอันลึกซึ้งเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และอำนาจ

คำแนะนำ (Recommendation)

ภาพยนตร์เรื่องนี้เหมาะสำหรับแฟนเดนตายของแฟรนไชส์ Planet of the Apes ที่ต้องการเห็นทิศทางใหม่ของเรื่องราว รวมถึงผู้ชมที่ชื่นชอบภาพยนตร์แนวไซไฟ-ผจญภัยที่เน้นการสร้างโลกและมีประเด็นให้ขบคิด หากคาดหวังฉากแอ็กชันสงครามเต็มรูปแบบอาจจะไม่ตอบโจทย์นัก แต่หากต้องการชมภาพยนตร์ที่งานสร้างตระการตาและเนื้อหาชวนให้ไตร่ตรอง Kingdom of the Planet of the Apes ถือเป็นตัวเลือกที่ไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง และควรค่าแก่การรับชมในโรงภาพยนตร์จอใหญ่เพื่อสัมผัสประสบการณ์ได้อย่างเต็มที่

หากประวัติศาสตร์ถูกเขียนขึ้นโดยผู้ชนะเสมอมา เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าความจริงที่เรายึดถืออยู่นั้นไม่ใช่เพียงเรื่องเล่าที่ถูกบิดเบือน?



“`