รีวิว Disney: 7 หนังแอนิเมชันยอดเยี่ยมที่คุณต้องดูซ้ำ
- ประเด็นสำคัญที่ไม่ควรพลาดจากแอนิเมชันดิสนีย์
- เหตุผลที่แอนิเมชันดิสนีย์ยังคงครองใจผู้ชมทุกยุคสมัย
- เจาะลึก 7 แอนิเมชันดิสนีย์ที่ต้องชมซ้ำ
- 1. The Lion King (1994): มหากาพย์แห่งทุ่งหญ้าสะวันนา
- 2. Beauty and the Beast (1991): นิยามรักแท้ที่เหนือกว่ารูปลักษณ์
- 3. Frozen (2013): พลังแห่งรักที่ละลายน้ำแข็ง
- 4. Aladdin (1992): การผจญภัยในโลกใหม่ที่น่าอัศจรรย์
- 5. Ratatouille (2007): ใครๆ ก็ทำอาหารได้
- 6. Up (2009): การเดินทางตามหาฝันที่ไม่สิ้นสุด
- 7. Inside Out (2015): สำรวจโลกมหัศจรรย์แห่งอารมณ์
- แอนิเมชันเรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ
- บทสรุปและคะแนนภาพรวมจากความรู้สึก
- การเดินทางสู่โลกแห่งจินตนาการที่ไม่สิ้นสุด
โลกแห่งแอนิเมชันของดิสนีย์ได้สร้างสรรค์ผลงานอมตะที่ตราตรึงอยู่ในใจของผู้ชมทั่วโลกมาหลายทศวรรษ บทความนี้จะนำเสนอ รีวิว Disney: 7 หนังแอนิเมชันยอดเยี่ยมที่คุณต้องดูซ้ำ ซึ่งเป็นผลงานที่ไม่ได้มอบเพียงความบันเทิง แต่ยังแฝงไปด้วยบทเรียนชีวิตอันลึกซึ้ง นวัตกรรมทางด้านภาพ และบทเพลงประกอบที่ทรงพลัง ภาพยนตร์เหล่านี้คือเครื่องพิสูจน์ถึงความมหัศจรรย์ของดิสนีย์ที่สามารถเชื่อมโยงผู้ชมทุกเพศทุกวัยเข้าไว้ด้วยกันผ่านเรื่องราวที่เปี่ยมด้วยจินตนาการและความอบอุ่นหัวใจ การกลับไปชมผลงานเหล่านี้อีกครั้งจึงไม่ใช่แค่การย้อนรำลึกความหลัง แต่คือการค้นพบมิติใหม่ๆ ที่อาจมองข้ามไปในวัยเยาว์
ประเด็นสำคัญที่ไม่ควรพลาดจากแอนิเมชันดิสนีย์

- นวัตกรรมและศิลปะ: ภาพยนตร์แอนิเมชันของดิสนีย์หลายเรื่องเป็นผู้บุกเบิกเทคนิคใหม่ๆ และสร้างมาตรฐานให้กับวงการ ทั้งยังได้รับการยอมรับในเวทีรางวัลระดับโลก เช่น รางวัลออสการ์
- บทเพลงอมตะ: ดนตรีและเพลงประกอบเป็นหัวใจสำคัญที่สร้างการจดจำและถ่ายทอดอารมณ์ของเรื่องราวได้อย่างสมบูรณ์แบบ หลายบทเพลงกลายเป็นเพลงฮิตที่ผู้คนทั่วโลกร้องตามได้
- แก่นเรื่องที่เป็นสากล: เรื่องราวของดิสนีย์มักจะนำเสนอประเด็นสากล เช่น ความรัก, มิตรภาพ, การเติบโต, การสูญเสีย และการค้นพบตัวเอง ทำให้สามารถเข้าถึงผู้ชมได้ทุกวัฒนธรรมและทุกช่วงวัย
- ตัวละครที่น่าจดจำ: ตัวละครแต่ละตัวถูกสร้างขึ้นอย่างมีมิติและน่าจดจำ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหญิงผู้กล้าหาญ, สัตว์น้อยคู่ใจ หรือแม้กระทั่งวายร้ายที่มีเสน่ห์ ทำให้เรื่องราวมีสีสันและน่าติดตาม
เหตุผลที่แอนิเมชันดิสนีย์ยังคงครองใจผู้ชมทุกยุคสมัย
แอนิเมชันจากดิสนีย์ไม่ใช่เพียงการ์ตูนสำหรับเด็ก แต่เป็นผลงานศิลปะที่ผสมผสานศาสตร์และศิลป์หลากหลายแขนงเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว เหตุผลที่ภาพยนตร์เหล่านี้ยังคงเป็นที่รักและถูกนำกลับมาชมซ้ำแล้วซ้ำเล่า คือความสามารถในการสร้างโลกแห่งจินตนาการที่สมจริงและน่าหลงใหล ขณะเดียวกันก็สอดแทรกข้อคิดและประเด็นที่ลึกซึ้งซึ่งผู้ชมในแต่ละช่วงวัยจะตีความและรับรู้ได้แตกต่างกันไป สำหรับเด็ก มันคือการผจญภัยที่น่าตื่นเต้น แต่สำหรับผู้ใหญ่ มันคือการย้อนมองชีวิตและความสัมพันธ์ผ่านมุมมองที่อบอุ่นและเปี่ยมด้วยความหวัง พลังของดิสนีย์จึงอยู่ที่การสร้างประสบการณ์ร่วมกันของคนในครอบครัว และการเป็นส่วนหนึ่งของความทรงจำอันงดงามที่ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น
เจาะลึก 7 แอนิเมชันดิสนีย์ที่ต้องชมซ้ำ
ภาพยนตร์ทั้งเจ็ดเรื่องต่อไปนี้ได้รับการคัดเลือกมาในฐานะผลงานที่โดดเด่นและเป็นตัวแทนของยุคสมัยต่างๆ ของดิสนีย์ แต่ละเรื่องมีเอกลักษณ์และเสน่ห์ที่แตกต่างกัน แต่ล้วนมีจุดร่วมคือคุณภาพการผลิตระดับสูงและเรื่องราวที่ทรงพลังจนต้องกลับไปดูซ้ำ
1. The Lion King (1994): มหากาพย์แห่งทุ่งหญ้าสะวันนา
The Lion King คือหนึ่งในผลงานชิ้นเอกที่ถูกยกย่องให้เป็นจุดสูงสุดของยุคฟื้นฟูของดิสนีย์ (Disney Renaissance) ภาพยนตร์เล่าเรื่องราวการเติบโตของซิมบ้า ลูกสิงโตผู้มีชะตากรรมต้องขึ้นเป็นราชาแห่งผาทรนง แต่กลับต้องเผชิญกับโศกนาฏกรรมและการทรยศจากสการ์ อาของตนเอง จนต้องหลบหนีออกจากฝูงไปใช้ชีวิตกับทีโมนและพุมบ้า ก่อนจะหวนคืนสู่บัลลังก์เพื่อทวงคืนสิ่งที่คู่ควร
ความโดดเด่นของเรื่องนี้อยู่ที่โครงเรื่องที่ได้รับแรงบันดาลใจจากบทละคร “Hamlet” ของเชกสเปียร์ ซึ่งนำเสนอประเด็นเรื่องความรับผิดชอบ, วงจรชีวิต (Circle of Life), และการก้าวข้ามความเจ็บปวดในอดีตได้อย่างลึกซึ้ง งานภาพแอนิเมชันมีความสวยงามตระการตา โดยเฉพาะฉากเปิดตัวที่แสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของสรรพสัตว์ในทุ่งหญ้าสะวันนา ประกอบกับดนตรีประกอบอันทรงพลังจาก Hans Zimmer และบทเพลงอมตะจาก Elton John และ Tim Rice เช่น “Circle of Life” และ “Hakuna Matata” ที่ได้รับรางวัลออสการ์ ยิ่งทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้สมบูรณ์แบบและน่าประทับใจไม่ว่าจะชมกี่ครั้งก็ตาม
2. Beauty and the Beast (1991): นิยามรักแท้ที่เหนือกว่ารูปลักษณ์
Beauty and the Beast สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการเป็นภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่องแรกที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ซึ่งเป็นเครื่องการันตีถึงคุณภาพที่เทียบเท่ากับภาพยนตร์คนแสดงในยุคนั้น เรื่องราวของเบลล์ หญิงสาวผู้รักการอ่านและมีความคิดเป็นของตัวเอง ที่ต้องเข้าไปอาศัยในปราสาทของอสูรผู้ถูกสาป เพื่อแลกกับอิสรภาพของบิดา เธอได้เรียนรู้ที่จะมองข้ามรูปลักษณ์ภายนอกอันน่าเกลียดน่ากลัว และค้นพบหัวใจอันดีงามที่ซ่อนอยู่ภายใน
ภาพยนตร์เรื่องนี้ประสบความสำเร็จในการสร้างตัวละครหญิงที่มีความซับซ้อนและเป็นต้นแบบของเจ้าหญิงยุคใหม่ เบลล์ไม่ใช่คนที่รอคอยให้เจ้าชายมาช่วยเหลือ แต่เป็นผู้กำหนดชะตาชีวิตของตนเอง นอกจากนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างเบลล์กับอสูรยังถูกพัฒนาอย่างค่อยเป็นค่อยไปและน่าเชื่อถือ ฉากเต้นรำในห้องโถงถือเป็นหนึ่งในฉากที่น่าจดจำที่สุดในประวัติศาสตร์แอนิเมชัน ด้วยการใช้เทคนิคคอมพิวเตอร์กราฟิกผสมผสานกับงานวาดมือได้อย่างงดงาม พร้อมด้วยบทเพลง “Beauty and the Beast” และ “Be Our Guest” ที่กลายเป็นเพลงคลาสสิกมาจนถึงปัจจุบัน
3. Frozen (2013): พลังแห่งรักที่ละลายน้ำแข็ง
Frozen ได้สร้างปรากฏการณ์ไปทั่วโลกและกลายเป็นหนึ่งในภาพยนตร์แอนิเมชันที่ทำรายได้สูงสุดตลอดกาล เรื่องราวเล่าถึงสองพี่น้องเจ้าหญิงแห่งอาณาจักรเอเรนเดลล์ เอลซ่าผู้มีพลังน้ำแข็งที่ไม่สามารถควบคุมได้ และแอนนา น้องสาวผู้เปี่ยมด้วยความรักและความกล้าหาญ เมื่อพลังของเอลซ่าพลั้งเผลอทำให้อาณาจักรตกอยู่ในฤดูหนาวชั่วนิรันดร์ แอนนาจึงต้องออกเดินทางเพื่อตามหาพี่สาวและนำฤดูร้อนกลับคืนมา
สิ่งที่ทำให้ Frozen แตกต่างและเป็นที่ชื่นชอบคือการหักมุมขนบเดิมๆ ของเทพนิยายดิสนีย์ โดยเฉพาะประเด็น “รักแท้” ที่ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ความรักระหว่างชายหญิง แต่คือความรักอันบริสุทธิ์ระหว่างพี่น้อง บทเพลง “Let It Go” ไม่เพียงแต่ได้รับรางวัลออสการ์ แต่ยังกลายเป็นเพลงชาติของเด็กๆ ทั่วโลก และเป็นสัญลักษณ์ของการปลดปล่อยตัวตนและยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็น ตัวละครโอลาฟ ตุ๊กตาหิมะผู้มีชีวิต ก็เป็นอีกหนึ่งสีสันที่สร้างเสียงหัวเราะและความอบอุ่นให้กับเรื่องราวได้อย่างลงตัว
4. Aladdin (1992): การผจญภัยในโลกใหม่ที่น่าอัศจรรย์
Aladdin พาผู้ชมท่องไปในดินแดนอาหรับราตรีที่เต็มไปด้วยสีสันและความมหัศจรรย์ ผ่านเรื่องราวของอะลาดิน เด็กหนุ่มข้างถนนผู้มีจิตใจดี ที่ได้พบกับตะเกียงวิเศษและจีนี่ ยักษ์สีฟ้าผู้เปี่ยมด้วยอารมณ์ขันและพลังไร้ขีดจำกัด เขาใช้พรจากจีนี่เพื่อแปลงโฉมเป็นเจ้าชายและเอาชนะใจเจ้าหญิงจัสมิน พร้อมกับต้องต่อสู้กับจาฟาร์ พ่อมดร้ายที่หวังจะครอบครองอาณาจักร
เสน่ห์สำคัญของเรื่องนี้คือตัวละครจีนี่ ที่ให้เสียงพากย์โดยนักแสดงระดับตำนานอย่าง Robin Williams ซึ่งการแสดงของเขาได้สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับการพากย์เสียงตัวละครในแอนิเมชัน จีนี่เต็มไปด้วยพลังงาน อารมณ์ขัน และการแปลงร่างที่คาดเดาไม่ได้ ทำให้ทุกฉากที่เขาปรากฏตัวเต็มไปด้วยความสนุกสนาน นอกจากนี้ บทเพลง “A Whole New World” ที่ได้รับรางวัลออสการ์ ก็เป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบที่สมบูรณ์แบบ ฉากที่อะลาดินและจัสมินโบยบินไปบนพรมวิเศษเหนือเมฆคือภาพจำที่โรแมนติกและสวยงามที่สุดฉากหนึ่งของดิสนีย์
5. Ratatouille (2007): ใครๆ ก็ทำอาหารได้
Ratatouille เป็นผลงานจาก Pixar ที่อยู่ภายใต้ชายคาของดิสนีย์ และได้รับรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์แอนิเมชันยอดเยี่ยม ภาพยนตร์เรื่องนี้โดดเด่นด้วยแนวคิดที่แปลกใหม่และกล้าหาญ โดยเล่าเรื่องของเรมี่ หนูท่อที่มีพรสวรรค์ด้านการดมกลิ่นและมีความฝันอยากจะเป็นเชฟมือหนึ่งในปารีส โชคชะตาทำให้เขาได้ร่วมมือกับลิงกวินี่ เด็กหนุ่มผู้ไร้ฝีมือด้านการทำอาหาร เพื่อสร้างสรรค์เมนูเลิศรสในร้านอาหารระดับตำนาน
เรื่องราวของเรมี่คือการบอกเล่าถึงการไล่ตามความฝัน แม้ว่าสังคมจะไม่ยอมรับ และตอกย้ำแนวคิดที่ว่า “ใครๆ ก็ทำอาหารได้” ซึ่งไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะเกิดมาเป็นศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ แต่หมายความว่าศิลปินผู้ยิ่งใหญ่สามารถมาจากที่ใดก็ได้
งานภาพในเรื่องนี้มีความละเอียดสูงมาก โดยเฉพาะการสร้างสรรค์ภาพอาหารที่ดูน่ารับประทานจนแทบจะได้กลิ่นออกมาจากจอ และการจำลองบรรยากาศของกรุงปารีสได้อย่างมีชีวิตชีวา Ratatouille เป็นภาพยนตร์ที่เฉลิมฉลองให้กับศิลปะ, ความหลงใหล และการก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเอง
6. Up (2009): การเดินทางตามหาฝันที่ไม่สิ้นสุด
อีกหนึ่งผลงานชิ้นเอกที่ได้รับรางวัลออสการ์จาก Pixar, Up สร้างความประทับใจให้ผู้ชมตั้งแต่นาทีแรกด้วยฉากเปิดเรื่องราวความรักของคาร์ลและเอลลี่ ที่ถูกเล่าผ่านภาพโดยไม่มีบทพูด แต่สามารถถ่ายทอดอารมณ์ของการเดินทางชีวิตคู่ได้อย่างสมบูรณ์และสะเทือนใจ หลังจากสูญเสียภรรยาไป คาร์ล เฟรดริกเซน ชายชราวัย 78 ปี ตัดสินใจทำตามความฝันครั้งสุดท้ายของพวกเขา ด้วยการผูกลูกโป่งนับพันลูกเข้ากับบ้านและลอยขึ้นฟ้าเพื่อมุ่งหน้าสู่ “น้ำตกสวรรค์” ในอเมริกาใต้ แต่การเดินทางครั้งนี้กลับมีแขกไม่ได้รับเชิญอย่างรัสเซลล์ ลูกเสือตัวน้อยติดสอยห้อยตามไปด้วย
Up คือการผสมผสานระหว่างความตลกขบขัน, การผจญภัยที่น่าตื่นเต้น และประเด็นที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับความรัก, การสูญเสีย และการเปิดใจเพื่อเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ ความสัมพันธ์ต่างวัยระหว่างคาร์ลผู้แข็งกระด้างกับรัสเซลล์ผู้มองโลกในแง่ดีค่อยๆ พัฒนาขึ้นและกลายเป็นหัวใจของเรื่อง ภาพยนตร์เรื่องนี้สอนให้รู้ว่าการผจญภัยที่แท้จริงอาจไม่ใช่การเดินทางไปยังสถานที่ห่างไกล แต่อยู่ที่ความสัมพันธ์และสายใยที่เราสร้างขึ้นกับคนรอบข้าง
7. Inside Out (2015): สำรวจโลกมหัศจรรย์แห่งอารมณ์
Inside Out พาผู้ชมเข้าไปสำรวจโลกภายในสมองของไรลีย์ เด็กสาววัย 11 ปี ที่ต้องรับมือกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตเมื่อครอบครัวของเธอย้ายบ้านไปยังเมืองใหม่ เรื่องราวถูกขับเคลื่อนโดยตัวละคร 5 อารมณ์หลัก ได้แก่ ลั้ลลา (Joy), เศร้าซึม (Sadness), ฉุนเฉียว (Anger), กลั๊วกลัว (Fear), และหยะแหยง (Disgust) ที่ทำงานอยู่ในศูนย์บัญชาการทางอารมณ์ของไรลีย์
ความยอดเยี่ยมของภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลออสการ์เรื่องนี้ คือการนำเสนอแนวคิดทางจิตวิทยาที่ซับซ้อนออกมาเป็นภาพที่เข้าใจง่ายและสร้างสรรค์ มันทำให้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่เข้าใจการทำงานของอารมณ์และความทรงจำมากขึ้น โดยเฉพาะการให้ความสำคัญกับ “ความเศร้า” ว่าไม่ใช่สิ่งเลวร้ายเสมอไป แต่เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้เราเยียวยาและเติบโตขึ้นได้ โลกในความคิดของไรลีย์ถูกสร้างขึ้นอย่างน่าทึ่ง ไม่ว่าจะเป็นเกาะบุคลิกภาพ, ดินแดนแห่งจินตนาการ หรือรถไฟแห่งความคิด Inside Out จึงเป็นแอนิเมชันที่ทั้งสนุกสนานและให้บทเรียนอันล้ำค่าเกี่ยวกับความเข้าใจตนเองและผู้อื่น
แอนิเมชันเรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ
นอกเหนือจาก 7 เรื่องหลักที่กล่าวมา ดิสนีย์ยังมีผลงานคุณภาพอีกมากมายที่ควรค่าแก่การรับชม เช่น:
- Monsters University (2013): ภาพยนตร์ภาคก่อนของ Monsters, Inc. ที่เล่าเรื่องราวมิตรภาพและการแข่งขันในชีวิตมหาวิทยาลัยของไมค์และซัลลี่
- Tinker Bell (2008): ภาพยนตร์ที่เจาะลึกเรื่องราวของทิงเกอร์เบลล์ นางฟ้าตัวน้อยจากเรื่อง Peter Pan และพาผู้ชมไปรู้จักกับโลกของพิกซี่ฮอลโลว์
- 101 Dalmatians (1961): แอนิเมชันคลาสสิกที่เล่าเรื่องการผจญภัยของครอบครัวสุนัขดัลเมเชียนที่ต้องหนีจากการไล่ล่าของครูเอลล่า เดอ วิล วายร้ายผู้หลงใหลในลายจุด
- คอลเลกชันหนังสั้นจาก Disney+: สำหรับผู้ที่มองหาความบันเทิงสั้นๆ แต่เปี่ยมด้วยคุณภาพ หนังสั้นอย่าง La Luna สามารถถ่ายทอดเรื่องราวที่น่าประทับใจและลึกซึ้งได้โดยแทบไม่ต้องใช้บทพูด เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ยอดเยี่ยมในการสัมผัสความมหัศจรรย์ของแอนิเมชัน
บทสรุปและคะแนนภาพรวมจากความรู้สึก
| ภาพยนตร์ | แก่นเรื่องสำคัญ | คะแนนและความรู้สึก |
|---|---|---|
| The Lion King (1994) | การเติบโต, ความรับผิดชอบ และวงจรแห่งชีวิต |
10/10
★★★★★★★★★★
มหากาพย์ที่สมบูรณ์แบบในทุกมิติ ทั้งภาพ เสียง และเนื้อหาที่ลึกซึ้งกินใจ |
| Beauty and the Beast (1991) | ความรักที่แท้จริงมองข้ามรูปลักษณ์ภายนอก |
9/10
★★★★★★★★★☆
ความคลาสสิกที่งดงามและโรแมนติก บทเพลงไพเราะ และตัวละครที่น่าจดจำ |
| Frozen (2013) | พลังแห่งความรักของพี่น้อง และการยอมรับตัวตน |
8/10
★★★★★★★★☆☆
สร้างปรากฏการณ์ใหม่ด้วยการตีความ “รักแท้” ในมุมมองที่แตกต่างและทันสมัย |
| Aladdin (1992) | การผจญภัย, มิตรภาพ และการเป็นตัวของตัวเอง |
9/10
★★★★★★★★★☆
สนุกสนาน ตื่นตาตื่นใจ พลังของจีนี่คือหัวใจที่ทำให้เรื่องนี้เป็นที่รัก |
| Ratatouille (2007) | การไล่ตามความฝันและก้าวข้ามขีดจำกัด |
9/10
★★★★★★★★★☆
แอนิเมชันที่เปี่ยมด้วยแรงบันดาลใจ ภาพสวยงาม และมีข้อคิดที่เฉียบคม |
| Up (2009) | ความรัก, การสูญเสีย และการผจญภัยครั้งใหม่ของชีวิต |
10/10
★★★★★★★★★★
เปิดเรื่องได้อย่างสะเทือนอารมณ์และทรงพลัง เป็นการเดินทางที่อบอุ่นหัวใจ |
| Inside Out (2015) | ความเข้าใจในอารมณ์ และความสำคัญของความเศร้า |
10/10
★★★★★★★★★★
สร้างสรรค์อย่างอัจฉริยะ ทำให้เรื่องจิตวิทยาที่ซับซ้อนกลายเป็นเรื่องราวที่เข้าถึงได้ |
การเดินทางสู่โลกแห่งจินตนาการที่ไม่สิ้นสุด
ภาพยนตร์แอนิเมชันทั้ง 7 เรื่องนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของคลังสมบัติอันล้ำค่าจากดิสนีย์ แต่ละเรื่องได้พิสูจน์แล้วว่าพลังของเรื่องเล่าที่ดีสามารถข้ามผ่านกาลเวลาและสร้างความประทับใจได้อย่างไม่เสื่อมคลาย ไม่ว่าจะเป็นเทคนิคการสร้างที่ล้ำสมัยในยุคนั้น, บทเพลงที่กลายเป็นตำนาน หรือข้อคิดที่ยังคงร่วมสมัยอยู่เสมอ การกลับไปชมภาพยนตร์เหล่านี้อีกครั้งจึงเปรียบเสมือนการเปิดประตูสู่ความทรงจำอันงดงาม และเป็นการค้นพบความหมายใหม่ๆ ที่ซ่อนอยู่ระหว่างบรรทัด ซึ่งตอกย้ำว่าความมหัศจรรย์ของดิสนีย์นั้นไม่มีวันสิ้นสุด
