ai generated 172

ตำนาน LOTR บทใหม่ War of the Rohirrim ในรูปแบบแอนิเมะ

การกลับมาสู่มิดเดิลเอิร์ธครั้งนี้ไม่ได้มาในรูปแบบภาพยนตร์คนแสดง แต่เป็นการสำรวจพงศาวดารผ่านลายเส้นอันดุดันของแอนิเมชันสไตล์ญี่ปุ่น The Lord of the Rings: The War of the Rohirrim คือการหยิบเอาเกร็ดตำนานจากภาคผนวกของ J.R.R. Tolkien มาขยายความสู่มหากาพย์สงครามอันนองเลือด ที่เผยให้เห็นต้นกำเนิดของป้อมปราการอันเลื่องชื่ออย่าง Helm’s Deep และโศกนาฏกรรมของกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่ชื่อ Helm Hammerhand

ประเด็นสำคัญที่น่าสนใจ

ตำนาน LOTR บทใหม่ War of the Rohirrim ในรูปแบบแอนิเมะ - lotr-war-of-rohirrim-anime-news

  • ย้อนรอยตำนานที่ถูกลืม: ภาพยนตร์เล่าเรื่องราว 183 ปีก่อนเหตุการณ์ในไตรภาคหลัก โดยเน้นไปที่สงครามระหว่างอาณาจักร Rohan กับชาว Dunlending ซึ่งเป็นที่มาของชื่อป้อมปราการ Helm’s Deep
  • การตีความผ่านลายเส้นแอนิเมะ: กำกับโดย เคนจิ คามิยามะ ผู้กำกับมากฝีมือจากซีรีส์ Ghost in the Shell: Stand Alone Complex ทำให้ภาพยนตร์มีสไตล์ 2D ที่ผสมผสานความยิ่งใหญ่แบบฉบับปีเตอร์ แจ็คสัน เข้ากับฉากแอ็คชั่นที่รุนแรงและดิบเถื่อนตามแบบฉบับอนิเมะญี่ปุ่น
  • วีรสตรีคนใหม่แห่ง Rohan: เรื่องราวให้ความสำคัญกับตัวละคร Héra พระธิดาของกษัตริย์ Helm ซึ่งถูกขยายบทบาทจากที่แทบไม่มีในต้นฉบับ ให้กลายเป็นหัวใจสำคัญและผู้นำการต่อต้านศัตรู
  • เสียงตอบรับที่แตกออกเป็นสองฝั่ง: แม้จะได้รับคำชมในด้านงานภาพที่สวยงามตระการตาและฉากสงครามที่ทรงพลัง แต่ก็มีเสียงวิจารณ์ในประเด็นการดำเนินเรื่องที่รวดเร็วจนเกินไป และการพัฒนาตัวละครที่ยังขาดความลึกซึ้ง

ภาพรวมและความรู้สึกแรก

ตำนาน LOTR บทใหม่ War of the Rohirrim ในรูปแบบแอนิเมะ คือการพาผู้ชมกลับสู่มิดเดิลเอิร์ธในมุมมองที่มืดมนและสมจริงยิ่งขึ้น ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ใช่การผจญภัยเพื่อกอบกู้โลก แต่เป็นบันทึกโศกนาฏกรรมของสงคราม การแก้แค้น และการเอาชีวิตรอด บรรยากาศเต็มไปด้วยความสิ้นหวังภายใต้ฤดูหนาวอันโหดร้าย การต่อสู้ไม่ใช่เรื่องของความดีกับความชั่วที่ชัดเจน แต่เป็นความขัดแย้งที่เกิดจากบาดแผลทางประวัติศาสตร์ นี่คือส่วนขยายจักรวาลที่กล้าหาญในการนำเสนอเรื่องราวผ่านสื่อที่แตกต่าง แต่ก็ยังคงเคารพรากฐานที่แฟนๆ คุ้นเคยเป็นอย่างดี

บทวิจารณ์เชิงลึก

การวิเคราะห์ The War of the Rohirrim จำเป็นต้องมองผ่านเลนส์สองชั้น เลนส์แรกคือการเป็นส่วนหนึ่งของจักรวาล The Lord of the Rings อันยิ่งใหญ่ และเลนส์ที่สองคือการเป็นภาพยนตร์แอนิเมะที่สร้างโดยทีมงานชาวญี่ปุ่น ซึ่งทั้งสองมุมมองนี้มีทั้งจุดที่ส่งเสริมและขัดแย้งกันอย่างน่าสนใจ

โครงเรื่องและบท (Script & Plot)

แกนกลางของเรื่องราวอิงมาจากภาคผนวก A ในหนังสือของ Tolkien ซึ่งมีเนื้อหาเพียงไม่กี่หน้า ทีมเขียนบทจึงมีอิสระในการเติมแต่งรายละเอียด โดยเฉพาะการสร้างตัวละคร Héra ให้เป็นตัวเอก โครงเรื่องหลักขับเคลื่อนด้วยแรงแค้นของ Wulf ผู้นำชาว Dunlending ที่ต้องการล้างแค้นให้บิดาที่ถูกสังหารโดย Helm Hammerhand กษัตริย์แห่ง Rohan

พล็อตเรื่องจึงดำเนินไปอย่างตรงไปตรงมาในรูปแบบของมหากาพย์สงครามล้างแค้น ซึ่งแม้จะทำให้เรื่องราวเข้าใจง่ายและเข้าถึงได้ แต่ก็ต้องแลกมากับความซับซ้อนของตัวละครที่ลดน้อยลง การตัดสินใจหลายอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ผู้ชมอาจไม่มีเวลาซึมซับแรงจูงใจหรือพัฒนาการทางอารมณ์ของตัวละครได้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่าง Helm และลูกๆ ของเขาที่น่าจะขยี้ได้มากกว่านี้ อย่างไรก็ตาม การเล่าเรื่องผ่านมุมมองของ Éowyn (พากย์โดย มิแรนดา ออตโต) ก็ช่วยเชื่อมโยงเรื่องราวเข้ากับไตรภาคหลักได้อย่างชาญฉลาด ทำให้ตำนานนี้รู้สึกเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ที่ถูกเล่าขานสืบต่อกันมา

การแสดงและตัวละคร (Casting & Character)

ทีมนักพากย์ถือเป็นจุดแข็งสำคัญของภาพยนตร์เรื่องนี้ ไบรอัน ค็อกซ์ ถ่ายทอดเสียงของ Helm Hammerhand ได้อย่างทรงพลัง สมกับเป็นกษัตริย์นักรบผู้แข็งกร้าว ดื้อรั้น แต่ก็เปี่ยมด้วยความรักที่มีต่ออาณาจักรและครอบครัว น้ำเสียงของเขาสามารถสื่อถึงความเหนื่อยล้าและความโกรธแค้นที่สั่งสมอยู่ภายในได้อย่างชัดเจน

ในขณะที่ ไกอา ไวส์ มอบชีวิตให้กับ Héra ในฐานะเจ้าหญิงที่ไม่ได้เปราะบาง แต่เป็นนักรบหญิงที่ต้องลุกขึ้นมาแบกรับชะตากรรมของประชาชน เธอคือภาพสะท้อนของ Éowyn ในยุคก่อน และเป็นหัวใจของเรื่องราวอย่างแท้จริง ส่วน ลุค ปาสควอลิโน ในบท Wulf ก็ถ่ายทอดความแค้นและความทะเยอทะยานออกมาได้ดี แม้ว่าบทจะไม่ได้เปิดโอกาสให้แสดงความซับซ้อนทางอารมณ์มากนัก ทำให้ Wulf เป็นตัวร้ายที่น่าเกรงขามแต่ขาดมิติที่น่าจดจำ

งานสร้างและองค์ประกอบศิลป์ (Production Value)

นี่คือส่วนที่โดดเด่นที่สุดของภาพยนตร์ สตูดิโอ Sola Entertainment และผู้กำกับ เคนจิ คามิยามะ ได้สร้างสรรค์มิดเดิลเอิร์ธในแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ลายเส้น 2D แบบวาดด้วยมือให้ความรู้สึกคลาสสิก แต่กลับถูกนำเสนอด้วยมุมกล้องและการเคลื่อนไหวที่ดุดันรวดเร็วแบบอนิเมะสมัยใหม่ การออกแบบตัวละครและฉากยังคงได้รับแรงบันดาลใจจากงานของ WETA ในภาพยนตร์ของปีเตอร์ แจ็คสัน ทำให้ผู้ชมรู้สึกคุ้นเคย แต่ในขณะเดียวกันก็มีความสดใหม่

ฉากสงครามคือจุดสูงสุดของงานสร้าง ความรุนแรงไม่ได้ถูกลดทอนลง แต่ถูกนำเสนออย่างดิบเถื่อนและสมจริง ทั้งเสียงคมดาบกระทบกัน เสียงร้องโหยหวน และภาพเลือดที่สาดกระเซ็น ทำให้ผู้ชมสัมผัสได้ถึงความโหดร้ายของสงครามอย่างแท้จริง

ดนตรีประกอบโดย สตีเฟน กัลลาเกอร์ ก็ทำหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยม โดยสามารถสร้างสรรค์ธีมที่ยิ่งใหญ่และโศกเศร้า เข้ากับบรรยากาศของเรื่องราวได้อย่างลงตัว แม้จะมีเสียงวิจารณ์ว่าคุณภาพของแอนิเมชันในบางช่วงดูไม่สม่ำเสมอ ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการผลิตที่ค่อนข้างเร่งรัด แต่โดยรวมแล้ว งานภาพและเสียงของ The War of the Rohirrim ถือว่าน่าประทับใจและเป็นมิติใหม่ให้กับจักรวาล LOTR

ฉาก/ไฮไลต์ที่น่าจดจำ

ฉากที่ตราตรึงที่สุดคือ “การยืนหยัดครั้งสุดท้ายของ Helm Hammerhand” ท่ามกลางฤดูหนาวอันยาวนานที่กองทัพ Rohan ถูกปิดล้อมอยู่ใน Hornburg (Helm’s Deep ในอนาคต) เสบียงเริ่มร่อยหรอ ผู้คนอดอยากและสิ้นหวัง ในช่วงเวลาที่มืดมนที่สุด กษัตริย์ Helm ผู้ชราภาพและบอบช้ำ ได้ตัดสินใจทำในสิ่งที่กลายเป็นตำนาน เขาเดินออกจากป้อมปราการเพียงลำพัง ไม่สวมเกราะ มีเพียงร่างกายที่สูงใหญ่และเสียงคำรามดั่งสัตว์ป่า ก่อนจะบุกเข้าสังหารศัตรูด้วยมือเปล่าท่ามกลางพายุหิมะ ฉากนี้ไม่ได้เน้นความสวยงามของท่วงท่าการต่อสู้ แต่เน้นไปที่อารมณ์ดิบของความโกรธแค้นและความสิ้นหวัง มันคือภาพของราชสีห์เฒ่าที่ยอมสละทุกสิ่งเพื่อปกป้องศักดิ์ศรีและผู้คนของตน เป็นภาพจำที่สรุปแก่นของโศกนาฏกรรมทั้งหมดในเรื่องได้อย่างทรงพลัง

สิ่งที่ชอบและไม่ชอบ

  • สิ่งที่ชอบ:
    • งานภาพแอนิเมชัน 2D ที่มีเอกลักษณ์: การผสมผสานสไตล์ของมิดเดิลเอิร์ธเข้ากับความดุดันของอนิเมะญี่ปุ่นสร้างประสบการณ์ที่แปลกใหม่และน่าตื่นตา
    • ความโหดร้ายและสมจริงของสงคราม: ภาพยนตร์ไม่ประนีประนอมในการนำเสนอความรุนแรง ทำให้สงครามรู้สึกมีเดิมพันสูงและน่าสะพรึงกลัว
    • การขยายจักรวาลที่น่าสนใจ: การได้เห็นตำนานของ Helm Hammerhand และที่มาของ Helm’s Deep ถูกนำมาเล่าบนจอถือเป็นของขวัญสำหรับแฟนพันธุ์แท้
  • สิ่งที่ไม่ชอบ:
    • การดำเนินเรื่องที่เร่งรีบ: หลายเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นเร็วเกินไป ทำให้ขาดน้ำหนักทางอารมณ์และการพัฒนาตัวละครที่ควรจะมี
    • ตัวละครขาดมิติ: นอกจาก Héra และ Helm ตัวละครอื่นๆ ส่วนใหญ่ค่อนข้างแบนราบ โดยเฉพาะตัวร้ายอย่าง Wulf ที่มีแรงจูงใจเพียงมิติเดียว
    • บทสนทนาที่เรียบง่าย: บทพูดบางส่วนยังขาดความคมคายและความลึกซึ้งอย่างที่เคยเป็นในไตรภาคหลัก
  • บทสรุปและคะแนน

    The Lord of the Rings: The War of the Rohirrim เป็นความพยายามที่ทะเยอทะยานและน่าชื่นชมในการขยายจักรวาลมิดเดิลเอิร์ธผ่านสื่อใหม่อย่างแอนิเมะ ภาพยนตร์ประสบความสำเร็จอย่างสูงในด้านงานภาพและฉากแอ็คชั่นที่มอบความตื่นเต้นและน่าจดจำ แต่ในขณะเดียวกันก็สะดุดในด้านการเล่าเรื่องและการพัฒนาตัวละครที่ยังขาดความลึกซึ้ง มันคือภาพยนตร์ที่สร้างมาเพื่อแฟนๆ ที่ต้องการเห็นตำนานที่ไม่เคยถูกเล่าได้มีชีวิตขึ้นมา และสำหรับคออนิเมะที่ชื่นชอบเรื่องราวแฟนตาซีสงครามอันดุเดือด อย่างไรก็ตาม ผู้ชมที่คาดหวังความยิ่งใหญ่และซับซ้อนเทียบเท่าไตรภาคของปีเตอร์ แจ็คสัน อาจต้องลดความคาดหวังลงเล็กน้อย

    ตารางสรุปคะแนนรีวิวภาพยนตร์ The Lord of the Rings: The War of the Rohirrim
    องค์ประกอบ คะแนน ความคิดเห็น
    โครงเรื่องและบท 6/10 เรื่องราวแก้แค้นที่ตรงไปตรงมา แต่ขาดความซับซ้อนและเร่งรีบเกินไป
    การแสดง (การพากย์) 8/10 ทีมนักพากย์ โดยเฉพาะไบรอัน ค็อกซ์ ทำหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยมและทรงพลัง
    งานสร้างและองค์ประกอบศิลป์ 9/10 งานภาพแอนิเมชันสวยงามมีสไตล์ ฉากสงครามดุดันน่าตื่นตาตื่นใจ
    ความบันเทิง 7/10 สนุกและน่าติดตามสำหรับแฟน LOTR และคออนิเมะ แต่ pacing อาจทำให้บางคนรู้สึกเบื่อ

    คะแนน (Score)

    6.5/10

    ผลงานที่โดดเด่นด้านภาพและเสียง แต่ยังไปไม่สุดในด้านการเล่าเรื่อง เป็นส่วนขยายจักรวาลที่น่าสนใจแต่ไม่ใช่ผลงานขึ้นหิ้ง

    คำแนะนำ (Recommendation)

    เหมาะสำหรับ:

    • แฟนพันธุ์แท้ของจักรวาล The Lord of the Rings ที่ต้องการสำรวจเรื่องราวและตำนานที่ไม่เคยปรากฏบนจอภาพยนตร์
    • ผู้ชมที่ชื่นชอบภาพยนตร์แอนิเมชันสำหรับผู้ใหญ่ ที่มีฉากสงครามดุดันและเนื้อหาที่จริงจัง
    • ผู้ที่ติดตามผลงานของผู้กำกับ เคนจิ คามิยามะ และชื่นชอบสไตล์อนิเมะที่มีความเป็นเอกลักษณ์

    เมื่อตำนานถูกสลักเสลาด้วยเลือดและความแค้น, ชัยชนะที่แท้จริงยังคงมีความหมายอยู่หรือไม่?

บทความรีวิวมาใหม่