จักรวาล Jurassic กลับมาพร้อม Scarlett Johansson


จักรวาล Jurassic กลับมาพร้อม Scarlett Johansson

การกลับมาของแฟรนไชส์ไดโนเสาร์ในตำนานครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงการสร้างภาคต่อ แต่คือการเกิดใหม่ที่แท้จริง จักรวาล Jurassic กลับมาพร้อม Scarlett Johansson ในภาพยนตร์เรื่องล่าสุด Jurassic World: Rebirth ซึ่งเป็นการเปิดศักราชใหม่ที่น่าจับตามอง ด้วยทีมผู้สร้างชุดใหม่ที่นำโดยผู้กำกับ Gareth Edwards และการกลับมาของผู้เขียนบทดั้งเดิม David Koepp ภาพยนตร์เรื่องนี้จึงไม่ใช่แค่หนังไดโนเสาร์ที่น่าตื่นเต้น แต่ยังเป็นการสำรวจลึกลงไปในแก่นปรัชญาว่าด้วยธรรมชาติ อำนาจ และตำแหน่งแห่งที่ของมนุษย์ในโลกที่ถูกท้าทายโดยอดีตอันยิ่งใหญ่

  • การเริ่มต้นบทใหม่: Jurassic World: Rebirth นำเสนอเรื่องราวและตัวละครชุดใหม่ทั้งหมด โดยมี Scarlett Johansson รับบทนำ ซึ่งถือเป็นการรีเฟรชแฟรนไชส์ให้มีความสดใหม่และน่าติดตาม
  • หวนคืนสู่รากเหง้า: การได้ David Koepp ผู้เขียนบท Jurassic Park ภาคแรกกลับมา ทำให้ภาพยนตร์มีกลิ่นอายของความตื่นเต้นระทึกขวัญและความลุ่มลึกเชิงวิทยาศาสตร์ที่หลายคนคิดถึง
  • ประเด็นทางศีลธรรมที่ซับซ้อน: เนื้อเรื่องไม่ได้มีเพียงการเอาชีวิตรอดจากไดโนเสาร์ แต่ยังตั้งคำถามถึงจริยธรรมในการใช้ประโยชน์จากสิ่งมีชีวิตอื่น แม้ว่าจะเป็นไปเพื่อเป้าหมายอันสูงส่งอย่างการช่วยชีวิตมนุษย์ก็ตาม
  • ความสำเร็จเชิงพาณิชย์: แม้จะได้รับเสียงวิจารณ์ที่หลากหลาย แต่ภาพยนตร์ก็ประสบความสำเร็จอย่างสูงในด้านรายได้ พิสูจน์ให้เห็นว่ามนต์เสน่ห์ของไดโนเสาร์ยังคงทรงพลังและสามารถดึงดูดผู้ชมทั่วโลกได้เสมอ

ภาพรวมและความรู้สึกแรก

จักรวาล Jurassic กลับมาพร้อม Scarlett Johansson - new-jurassic-world-scarlett-johansson

Jurassic World: Rebirth พาผู้ชมย้อนกลับไปสู่ความรู้สึกเกรงขามและหวาดหวั่นที่เคยสัมผัสใน Jurassic Park (1993) ภาพยนตร์เรื่องนี้เปรียบเสมือนการ soft-reboot ที่เคารพต้นฉบับ แต่ในขณะเดียวกันก็กล้าที่จะเดินไปในทิศทางใหม่ เรื่องราวเกิดขึ้น 5 ปีหลังจากเหตุการณ์ใน Dominion เมื่อโลกได้เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับไดโนเสาร์ที่กระจายตัวอยู่ตามธรรมชาติ แต่เรื่องราวครั้งนี้โฟกัสไปยังภารกิจที่มีเดิมพันสูงบนเกาะวิจัยเก่าแห่งหนึ่ง ทีมสำรวจที่นำโดย Zora Bennett (Scarlett Johansson) อดีตทหารรับจ้างผู้มีปมในใจ ต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อเก็บตัวอย่างเลือดจากไดโนเสาร์ยักษ์ 3 สายพันธุ์ โดยหวังว่ามันจะเป็นกุญแจสำคัญในการรักษาโรคร้าย แต่สิ่งที่พวกเขาต้องเผชิญไม่ใช่แค่คมเขี้ยวและกรงเล็บของสัตว์ดึกดำบรรพ์ แต่ยังรวมถึงพายุแห่งศีลธรรมที่ถาโถมเข้ามาในใจ เมื่อภารกิจเพื่อช่วยมนุษยชาติกลับต้องแลกมาด้วยการรุกล้ำชีวิตที่ควรจะถูกปล่อยให้อยู่อย่างสงบ

บทวิจารณ์เชิงลึก

ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ได้เป็นเพียงหนังแอคชั่นไซไฟธรรมดา แต่เป็นการเชื้อเชิญให้ผู้ชมขบคิดถึงความสัมพันธ์อันซับซ้อนระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ และเส้นแบ่งบางๆ ระหว่างความก้าวหน้ากับการแทรกแซง

โครงเรื่องและบท (Script & Plot)

การกลับมาของ David Koepp คือหัวใจสำคัญที่ทำให้บทภาพยนตร์เรื่องนี้โดดเด่น เขาดึงเอาองค์ประกอบที่ดีที่สุดของภาคแรกกลับมา นั่นคือการผสมผสานระหว่างวิทยาศาสตร์ที่น่าทึ่งเข้ากับความระทึกขวัญที่จับต้องได้ โครงเรื่องแบบ “ภารกิจเสี่ยงตาย” อาจไม่ใช่พล็อตที่แปลกใหม่ แต่ Koepp ได้สอดแทรกมิติทางจริยธรรมเข้าไปในทุกการตัดสินใจของตัวละคร เป้าหมายในการเก็บตัวอย่างเลือดเพื่อรักษาโรคหัวใจสร้างภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกที่น่าสนใจ มันทำให้การกระทำของตัวละครไม่ใช่เรื่องของความดีหรือความชั่ว แต่เป็นเรื่องของ “ความจำเป็น” ที่ต้องชั่งน้ำหนักกับ “ผลกระทบ” บทภาพยนตร์ไม่ได้รีบเร่งเข้าสู่ฉากแอคชั่น แต่ใช้เวลาปูพื้นให้ผู้ชมเข้าใจถึงโลกที่เปลี่ยนไปและแรงจูงใจของแต่ละตัวละคร ทำให้เมื่อถึงจุดที่ต้องเผชิญหน้ากับอันตราย เราจึงรู้สึกผูกพันและเอาใจช่วยพวกเขาได้อย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตาม ในบางช่วง การดำเนินเรื่องอาจดูคล้ายคลึงกับภาคก่อนๆ มากเกินไปสำหรับแฟนพันธุ์แท้ แต่มันก็ถูกชดเชยด้วยบทสนทนาที่เฉียบคมและสถานการณ์ที่บีบคั้นทางอารมณ์

การแสดงและตัวละคร (Casting & Character)

Scarlett Johansson ในบท Zora Bennett คือการคัดเลือกนักแสดงที่สมบูรณ์แบบ เธอถ่ายทอดบทบาทของอดีตทหารรับจ้างที่มีทั้งความแข็งแกร่งเด็ดเดี่ยวและความเปราะบางซ่อนอยู่ภายในได้อย่างยอดเยี่ยม Zora ไม่ใช่ฮีโร่ผู้สมบูรณ์แบบ แต่เป็นมนุษย์ที่มีบาดแผลและต้องต่อสู้กับปีศาจในใจตัวเองไปพร้อมๆ กับการต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอด การแสดงของเธอทำให้ตัวละครนี้มีมิติและความลึกที่น่าจดจำ

นักแสดงสมทบอย่าง Mahershala Ali และ Jonathan Bailey ก็ทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีเยี่ยม สร้างเคมีที่เข้าขากันภายในทีมสำรวจ ทำให้ผู้ชมเชื่อในความสัมพันธ์ของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นความตึงเครียด ความขัดแย้ง หรือความห่วงใยซึ่งกันและกัน โจแฮนสันเคยกล่าวว่าภาพยนตร์เรื่องนี้เป็น “จดหมายรัก” ถึง Steven Spielberg ซึ่งสะท้อนออกมาผ่านการแสดงของเธอที่เต็มไปด้วยความเคารพต่อจิตวิญญาณของแฟรนไชส์ดั้งเดิม

งานสร้างและองค์ประกอบศิลป์ (Production Value)

Gareth Edwards ผู้กำกับที่เคยสร้างความประทับใจจาก Rogue One: A Star Wars Story ได้นำวิสัยทัศน์ด้านภาพและความยิ่งใหญ่มาสู่จักรวาลจูราสสิคได้อย่างลงตัว เขามีความสามารถพิเศษในการสร้างฉากที่ให้ความรู้สึกทั้งสวยงามและน่าสะพรึงกลัวในเวลาเดียวกัน การถ่ายทำในสถานที่จริงอย่างประเทศไทยและมอลตา ช่วยเพิ่มความสมจริงให้กับเกาะที่เต็มไปด้วยไดโนเสาร์ งานภาพ (Cinematography) ใช้แสงและเงาในการสร้างบรรยากาศที่กดดันและลึกลับ ทำให้ไดโนเสาร์ดูน่ากลัวยิ่งกว่าที่เคยเป็นมา

งานออกแบบเสียงและดนตรีประกอบก็เป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบที่โดดเด่น เสียงคำรามของไดโนเสาร์ เสียงสภาพแวดล้อมในป่าเขตร้อน ล้วนสร้างประสบการณ์ที่สมจริง ในขณะที่ดนตรีประกอบก็ช่วยขับเคลื่อนอารมณ์ของผู้ชมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตั้งแต่ความตื่นเต้นในฉากไล่ล่าไปจนถึงความรู้สึกอัศจรรย์ใจเมื่อได้เห็นไดโนเสาร์ในสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติของมัน

ฉากเด่นที่น่าจดจำ

หนึ่งในฉากที่น่าจะติดตาตรึงใจผู้ชมไปอีกนานคือ “ฉากเก็บตัวอย่างเลือดกลางสายฝน” ทีมของ Zora ต้องปฏิบัติภารกิจที่ละเอียดอ่อนที่สุด นั่นคือการเจาะเลือดจากไทแรนโนซอรัส เร็กซ์ ที่กำลังหลับใหลอยู่ ท่ามกลางพายุฝนที่โหมกระหน่ำ ความตึงเครียดถูกสร้างขึ้นอย่างช้าๆ ผ่านเสียงเม็ดฝนที่กระทบใบไม้ เสียงลมหายใจของอสูรร้าย และแสงไฟฉายที่สั่นไหวของทีมงาน ทุกวินาทีผ่านไปอย่างเชื่องช้าจนน่าอึดอัด และเมื่อสายฟ้าฟาดลงมา ปลุกให้ T-Rex ตื่นขึ้นมาพร้อมกับเสียงคำรามกึกก้อง ฉากทั้งหมดก็ระเบิดออกเป็นความโกลาหลที่ทั้งน่าตื่นเต้นและน่าหวาดเสียว ฉากนี้คือตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบของการกำกับของ Edwards ที่สามารถผสมผสานความระทึกขวัญเข้ากับความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติได้อย่างไร้ที่ติ

ตารางสรุปการวิเคราะห์ภาพยนตร์ Jurassic World: Rebirth
องค์ประกอบ การวิเคราะห์ คะแนน
โครงเรื่องและบท การกลับมาสู่รากเหง้าของความระทึกขวัญเชิงวิทยาศาสตร์ พร้อมประเด็นทางศีลธรรมที่น่าขบคิด แม้พล็อตหลักจะคาดเดาได้บ้าง 7/10
การแสดงและตัวละคร Scarlett Johansson แบกรับบทนำได้อย่างยอดเยี่ยม มอบมิติที่ลึกซึ้งให้กับตัวละคร Zora Bennett นักแสดงสมทบสร้างเคมีที่ดี 8/10
งานสร้างและองค์ประกอบศิลป์ งานภาพและสเกลที่ยิ่งใหญ่ภายใต้การกำกับของ Gareth Edwards สร้างบรรยากาศที่ทั้งสวยงามและน่าสะพรึงกลัวได้อย่างลงตัว 9/10
ความบันเทิงโดยรวม เป็นหนังไดโนเสาร์ที่มอบความตื่นเต้นได้อย่างเต็มเปี่ยม พร้อมทั้งกระตุ้นให้ผู้ชมได้ครุ่นคิดถึงประเด็นที่หนักแน่นยิ่งขึ้น 8/10

สิ่งที่ชอบและไม่ชอบ

แม้ภาพยนตร์จะมอบประสบการณ์ที่น่าประทับใจ แต่ก็ยังมีจุดที่สามารถพิจารณาได้

  • สิ่งที่ชอบ:
    • การกลับมาของ David Koepp ที่นำพากลิ่นอายของ Jurassic Park ดั้งเดิมกลับมาได้อย่างยอดเยี่ยม ทั้งความตึงเครียดและประเด็นเชิงวิทยาศาสตร์
    • การแสดงที่ทรงพลังของ Scarlett Johansson ซึ่งสร้างตัวละครนำหญิงที่แข็งแกร่งและมีมิติได้อย่างน่าเชื่อถือ
    • วิสัยทัศน์ของผู้กำกับ Gareth Edwards ที่สร้างสรรค์งานภาพอันน่าทึ่งและฉากแอคชั่นที่ยิ่งใหญ่แต่ยังคงความระทึกขวัญไว้ได้
  • สิ่งที่อาจไม่ชอบ:
    • โครงเรื่องหลักอาจมีความคล้ายคลึงกับภาพยนตร์แนวเอาชีวิตรอดเรื่องอื่นๆ ทำให้แฟนเดนตายของแฟรนไชส์อาจคาดเดาเหตุการณ์บางอย่างได้
    • ตัวละครสมทบบางตัวยังขาดการพัฒนาในเชิงลึก ทำให้ไม่น่าจดจำเท่าที่ควร

บทสรุปและคะแนน

Jurassic World: Rebirth คือการฟื้นคืนชีพของแฟรนไชส์ที่ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม เป็นการเดินทางกลับสู่จุดเริ่มต้นที่ทำให้เรารักภาพยนตร์ชุดนี้ นั่นคือความรู้สึกยำเกรงต่อพลังของธรรมชาติ และการตั้งคำถามต่อความทะเยอทะยานของมนุษย์ ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ใช่แค่การผจญภัยที่ตื่นเต้นเร้าใจ แต่ยังเป็นกระจกสะท้อนให้เห็นว่า เมื่อมนุษย์พยายามจะควบคุมธรรมชาติ ผลลัพธ์ที่ตามมาอาจยิ่งใหญ่และน่ากลัวเกินกว่าจะจินตนาการได้ มันคือหนังบล็อกบัสเตอร์ที่เปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณและความคิดที่ลึกซึ้ง

ภาพยนตร์เรื่องนี้ท้าทายผู้ชมด้วยคำถามว่า ‘การช่วยชีวิตหนึ่ง อาจหมายถึงการทำลายอีกชีวิตหนึ่งหรือไม่’ และมันไม่ได้มอบคำตอบง่ายๆ ให้กับเรา

คะแนน (Score)

คะแนนรีวิว: 7/10

การกลับมาที่แข็งแกร่งและน่าตื่นเต้น เป็นการปูทางสู่อนาคตใหม่ของแฟรนไชส์ได้อย่างมั่นคง แม้จะยังไม่สามารถก้าวข้ามความคลาสสิกของภาคแรกได้ แต่ก็เป็นหนังไดโนเสาร์ที่มอบความบันเทิงและข้อคิดได้อย่างยอดเยี่ยม

คำแนะนำ (Recommendation)

ภาพยนตร์เรื่องนี้เหมาะสำหรับ:

  • แฟนตัวยงของแฟรนไชส์ Jurassic Park และ Jurassic World ที่ต้องการสัมผัสประสบการณ์ที่สดใหม่แต่ยังคงเคารพรากเหง้าเดิม
  • ผู้ที่ชื่นชอบผลงานของ Scarlett Johansson ในบทบาทแอคชั่นที่ต้องใช้ความสามารถทางการแสดงสูง
  • ผู้ชมที่มองหาภาพยนตร์ไซไฟผจญภัยฟอร์มยักษ์ ที่มีทั้งฉากแอคชั่นตระการตาและประเด็นที่ชวนให้ขบคิดตาม

Jurassic World: Rebirth ได้พิสูจน์แล้วว่าตำนานของไดโนเสาร์ยังคงมีชีวิต และมันยังคงสามารถสะกดให้เราตื่นตะลึง หวาดกลัว และตั้งคำถามต่อการดำรงอยู่ของเผ่าพันธุ์เราได้เสมอ

เมื่อมนุษย์มีอำนาจในการสร้างและทำลายชีวิต เรามีเส้นแบ่งทางศีลธรรมที่แท้จริงอยู่ตรงไหน?


บทความรีวิวมาใหม่