ai generated 154

“`html





รีวิว House of the Dragon S2: เลือกทีมไหนดี Black or Green?


รีวิว House of the Dragon S2: เลือกทีมไหนดี Black or Green?

การกลับมาของมหากาพย์สงครามชิงบัลลังก์ใน รีวิว House of the Dragon S2: เลือกทีมไหนดี Black or Green? ได้เปิดฉากการเต้นรำของมังกรอย่างเต็มรูปแบบ ซีซันนี้ไม่ได้เป็นเพียงการสานต่อเรื่องราว แต่เป็นการเจาะลึกลงไปในจิตใจของตัวละครที่แตกสลาย ผลักดันให้ผู้ชมต้องเผชิญหน้ากับคำถามแห่งความภักดี ท่ามกลางเปลวไฟแห่งความแค้นและการเมืองที่อำมหิต

ประเด็นสำคัญของการกลับมา

รีวิว House of the Dragon S2: เลือกทีมไหนดี Black or Green? - review-house-of-dragon-s2-black-green

  • สงครามเต็มรูปแบบ: ซีซัน 2 ยกระดับความขัดแย้งสู่สงครามมังกรที่ดุเดือดและมีเดิมพันสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ฉากแอ็กชันมีความยิ่งใหญ่และโหดร้ายกว่าเดิม
  • การสำรวจจิตวิทยาตัวละคร: เนื้อเรื่องใช้จังหวะที่ช้าลงเพื่อเจาะลึกความซับซ้อนทางอารมณ์ของตัวละครหลัก โดยเฉพาะ Rhaenyra และ Alicent ที่ต้องแบกรับผลกระทบจากสงคราม
  • ความคลุมเครือทางศีลธรรม: ซีรีส์หลีกเลี่ยงการนำเสนอฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งว่าเป็น “ฝ่ายดี” อย่างชัดเจน แต่เผยให้เห็นเหตุผล ข้อบกพร่อง และแรงผลักดันของทั้งทีมดำและทีมเขียว
  • งานสร้างระดับมหากาพย์: โปรดักชันยังคงรักษามาตรฐานระดับสูงเทียบเท่า Game of Thrones ทั้งด้านงานภาพ เครื่องแต่งกาย และการสร้างสรรค์ฉากมังกรที่น่าตื่นตาตื่นใจ

House of the Dragon Season 2 สานต่อเรื่องราวจากจุดแตกหักในซีซันแรก โดยนำผู้ชมเข้าสู่ใจกลางของ “การเต้นรำของมังกร” (The Dance of the Dragons) สงครามกลางเมืองตระกูล Targaryen ที่แบ่งแยกอาณาจักรออกเป็นสองฝ่าย คือ ทีมดำ (The Blacks) ผู้สนับสนุนสิทธิ์ในการสืบราชบัลลังก์ของราชินี Rhaenyra Targaryen และ ทีมเขียว (The Greens) ผู้สนับสนุนกษัตริย์ Aegon II Targaryen ผู้ครองบัลลังก์องค์ปัจจุบัน ซีซันนี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการสำรวจผลกระทบของสงคราม ไม่ใช่แค่ในสนามรบ แต่ยังรวมถึงในห้องประชุมสภา การวางแผนการเมือง และภายในจิตใจของทุกตัวละครที่เกี่ยวข้อง

ภาพรวมและความรู้สึกแรก

ซีซัน 2 เปิดฉากด้วยบรรยากาศที่หนักอึ้งและตึงเครียด ความสูญเสียจากท้ายซีซันแรกได้จุดชนวนสงครามอย่างเป็นทางการ และความขัดแย้งไม่ได้จำกัดอยู่แค่การถกเถียงเรื่องสิทธิ์อันชอบธรรมอีกต่อไป แต่กลายเป็นการแก้แค้นส่วนตัวที่ลุกลามไปทั่วทั้งเวสเทอรอส ความรู้สึกโดยรวมคือการเฝ้าดูพายุที่ก่อตัวมานานได้พัดกระหน่ำอย่างรุนแรง แม้จังหวะการเล่าเรื่องในช่วงแรกจะดูเนิบช้าเพื่อปูพื้นฐานทางอารมณ์ แต่ทุกฉากล้วนเต็มไปด้วยความหมายแฝงที่บ่งบอกถึงหายนะที่กำลังจะตามมา

บทวิจารณ์เชิงลึก

การวิเคราะห์ซีซันนี้จำเป็นต้องมองผ่านเลนส์ของ “สงคราม” ที่เป็นมากกว่าการต่อสู้ แต่คือสภาวะที่กัดกร่อนทุกสิ่ง ทั้งศักดิ์ศรี ความสัมพันธ์ และมนุษยธรรม

โครงเรื่องและบท (Script & Plot)

โครงเรื่องของซีซัน 2 เลือกที่จะใช้จังหวะที่แตกต่างออกไป มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าการดำเนินเรื่องในบางช่วงมีความวนซ้ำและไม่คืบหน้าเท่าที่ควร คล้ายกับการปูทางเพื่อไปสู่จุดสูงสุดในซีซันถัดไป อย่างไรก็ตาม การชะลอจังหวะนี้ก็เปิดโอกาสให้บทได้สำรวจความซับซ้อนของการตัดสินใจในภาวะสงคราม แต่ละฝ่ายไม่ได้เพียงแค่วางแผนรบ แต่ยังต้องต่อสู้กับความขัดแย้งภายในกลุ่มของตนเอง บทสนทนาเต็มไปด้วยความตึงเครียดทางการเมืองและการทรยศหักหลังที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังคำพูดสวยหรู

“Fuck dignity! I want revenge.”

คำพูดจากตัวอย่างนี้สะท้อนแก่นของซีซันได้อย่างชัดเจน เมื่อการเรียกร้องสิทธิ์ถูกแทนที่ด้วยแรงขับเคลื่อนจากความแค้นส่วนตัว โครงเรื่องจึงไม่ได้เดินไปข้างหน้าอย่างเป็นเส้นตรง แต่กลับหมุนวนอยู่กับผลกระทบของอารมณ์และการตัดสินใจที่ผิดพลาด ซึ่งอาจทำให้ผู้ชมบางส่วนรู้สึกหงุดหงิด แต่ในขณะเดียวกันก็สะท้อนสภาวะสงครามที่ไร้เหตุผลและเต็มไปด้วยการสูญเสียได้อย่างสมจริง

การแสดงและตัวละคร (Casting & Character)

การแสดงยังคงเป็นจุดแข็งที่สุดของซีรีส์ Emma D’Arcy ในบท Rhaenyra Targaryen ถ่ายทอดความเจ็บปวดจากการสูญเสียและความหนักอึ้งของมงกุฎได้อย่างทรงพลัง พัฒนาการของเธอจากเจ้าหญิงผู้ถูกแย่งชิงบัลลังก์ไปสู่ราชินีในภาวะสงครามนั้นน่าติดตามอย่างยิ่ง ในขณะที่ Olivia Cooke ในบท Alicent Hightower แสดงออกถึงความขัดแย้งภายในได้อย่างยอดเยี่ยม เธอคือราชินีฝ่ายเขียวที่ดูเหมือนจะเริ่มตระหนักถึงความเลวร้ายของสงครามที่ตนเองมีส่วนร่วมในการจุดชนวน และความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างเธอกับ Rhaenyra ยังคงเป็นหัวใจสำคัญของเรื่องราว

ตัวละครสมทบอย่าง Matt Smith ในบท Daemon Targaryen ยังคงเป็นตัวแปรที่คาดเดาไม่ได้และเป็นความหวังในการรบของฝ่ายดำ ส่วนฝ่ายเขียว Aemond Targaryen กลายเป็นสัญลักษณ์ของความก้าวร้าวและความกระหายสงครามที่พร้อมจะเผาผลาญทุกสิ่ง การปะทะกันของตัวละครเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงการต่อสู้ทางกายภาพ แต่เป็นการต่อสู้ทางอุดมการณ์และความเชื่อที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้ว

งานสร้างและองค์ประกอบศิลป์ (Production Value)

งานสร้างในซีซัน 2 ยังคงความยิ่งใหญ่และสมจริง การออกแบบฉากและเครื่องแต่งกายสะท้อนถึงตัวตนของแต่ละฝ่ายได้อย่างชัดเจน ฝ่ายดำมักจะมาในโทนสีที่มืดและเรียบง่าย สื่อถึงความชอบธรรมที่เคร่งขรึม ในขณะที่ฝ่ายเขียวจะมีความหรูหราและโอ่อ่ากว่า สะท้อนถึงอำนาจที่ตนครอบครองอยู่

จุดเด่นที่สุดคืองาน CGI มังกรที่ถูกยกระดับขึ้นไปอีกขั้น มังกรแต่ละตัวมีเอกลักษณ์และบุคลิกที่ชัดเจน ฉากการต่อสู้บนท้องฟ้ามีความอลังการและน่าเกรงขาม สร้างความตื่นเต้นและน่าสะพรึงกลัวไปพร้อมกัน เสียงประกอบและดนตรีที่คุ้นเคยช่วยเสริมสร้างบรรยากาศของมหากาพย์ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทำให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนได้เข้าไปอยู่ในใจกลางความขัดแย้งของตระกูล Targaryen จริงๆ

ตารางเปรียบเทียบจุดยืนและลักษณะของทีมดำ (Black) และทีมเขียว (Green) ใน House of the Dragon Season 2
ฝ่าย ปรัชญาและแรงจูงใจ จุดแข็ง จุดอ่อน
ทีมดำ (The Blacks) ยึดมั่นในสิทธิ์การสืบทอดตามที่กษัตริย์องค์ก่อนได้ประกาศไว้ แรงจูงใจหลักคือการทวงคืนความชอบธรรมและแก้แค้นต่อการสูญเสีย ผู้นำอย่าง Rhaenyra ที่มีความเข้มแข็ง, กองทัพมังกรที่นำโดย Daemon Targaryen, และมีพันธมิตรที่ภักดีต่อคำสาบานเดิม ถูกมองว่าเป็นฝ่ายกบฏโดยผู้ครองอำนาจปัจจุบัน, การตัดสินใจที่ขับเคลื่อนด้วยอารมณ์และความแค้นอาจนำไปสู่การกระทำที่โหดร้าย
ทีมเขียว (The Greens) เชื่อมั่นในธรรมเนียมปฏิบัติที่บุตรชายต้องสืบทอดบัลลังก์ก่อนบุตรสาว แรงจูงใจคือการรักษาอำนาจและเสถียรภาพของอาณาจักรภายใต้การปกครองของตน ควบคุมเมืองหลวงและกลไกอำนาจรัฐ, มี Otto Hightower เป็นนักวางกลยุทธ์, และมี Aemond พร้อมมังกร Vhagar ที่ใหญ่ที่สุด ความขัดแย้งภายในกลุ่ม, โดยเฉพาะระหว่าง Alicent ที่เริ่มโหยหาสันติภาพ และ Aemond ที่กระหายสงคราม, Aegon II ขาดภาวะผู้นำ

ฉาก/ไฮไลต์ที่น่าจดจำ

ฉากการเผชิญหน้าของมังกรในตอนที่ 4 ถือเป็นหนึ่งในไฮไลต์สำคัญของซีซัน มันไม่ได้เป็นเพียงฉากแอ็กชันที่น่าตื่นตา แต่เป็นการจำลองภาพของสงครามนิวเคลียร์ในโลกแฟนตาซีได้อย่างทรงพลัง เปลวไฟที่พวยพุ่งไม่ได้ทำลายแค่ปราสาทหิน แต่มันเผาผลาญชีวิตผู้บริสุทธิ์และทำลายขวัญกำลังใจของทั้งสองฝ่าย ฉากนี้ตอกย้ำให้เห็นว่า “การเต้นรำของมังกร” ไม่ใช่การต่อสู้ที่สวยงาม แต่คือโศกนาฏกรรมที่ไม่มีผู้ชนะอย่างแท้จริง และเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ตัวละครหลายตัวต้องทบทวนเส้นทางที่ตนเลือกเดิน

สิ่งที่ชอบและไม่ชอบ

สิ่งที่ชอบ

  • การพัฒนาตัวละครที่ลึกซึ้ง: การสำรวจความขัดแย้งภายในของ Rhaenyra และ Alicent ทำให้เรื่องราวมีมิติมากกว่าแค่สงครามแย่งชิงบัลลังก์
  • ฉากมังกรสุดอลังการ: งานภาพและเทคนิคพิเศษสร้างสรรค์ฉากสงครามมังกรออกมาได้อย่างน่าทึ่งและน่าสะพรึงกลัว
  • ความตึงเครียดทางการเมือง: การวางแผนและการหักหลังในสภาของทั้งสองฝ่ายยังคงเป็นเสน่ห์ที่ทำให้เรื่องราวน่าติดตาม

สิ่งที่ไม่ชอบ

  • จังหวะการเล่าเรื่อง: ในบางช่วง การดำเนินเรื่องค่อนข้างช้าและวนเวียนอยู่กับที่ อาจทำให้รู้สึกว่าเรื่องราวไม่คืบหน้าเท่าที่ควร
  • โครงเรื่องที่กระจัดกระจาย: การแยกสายเรื่องของตัวละครต่างๆ ทำให้ภาพรวมดูไม่เชื่อมโยงกันในบางครั้ง ขาดจุดศูนย์กลางที่แข็งแรง
  • ฉากที่ไม่จำเป็น: มีบางฉากที่ดูเหมือนถูกใส่เข้ามาโดยไม่มีผลกระทบต่อเนื้อเรื่องหลักมากนัก เช่น ฉากจูบระหว่าง Rhaenyra และ Mysaria ที่ดูเหมือนเป็นการด้นสดมากกว่าจะมีนัยสำคัญ

บทสรุปและคะแนน

House of the Dragon Season 2 คือบทพิสูจน์ว่าสงครามนั้นเป็นสภาวะที่กัดกินจิตวิญญาณ แม้จะมีปัญหาด้านจังหวะการเล่าเรื่องอยู่บ้าง แต่ซีซันนี้ประสบความสำเร็จในการยกระดับความขัดแย้งไปสู่สงครามเต็มรูปแบบ พร้อมกับการเจาะลึกจิตใจตัวละครที่ซับซ้อนและแตกสลาย มันไม่ใช่ซีรีส์ที่มอบความบันเทิงแบบสำเร็จรูป แต่เชื้อเชิญให้ผู้ชมขบคิดถึงธรรมชาติของอำนาจ ความภักดี และผลกระทบอันเลวร้ายของการแก้แค้น การตัดสินใจเลือกข้างระหว่างทีมดำและทีมเขียวจึงไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะท้ายที่สุดแล้ว เปลวไฟของมังกรไม่ได้แยกว่าใครถูกใครผิด มันเพียงแค่เผาผลาญทุกสิ่งให้เหลือเพียงเถ้าถ่าน

คะแนน (Score)

8/10

★★★★★★★★☆☆

มหากาพย์ที่หนักแน่นและทรงพลัง แม้จังหวะจะสะดุดไปบ้าง แต่การแสดงที่ยอดเยี่ยมและฉากที่น่าจดจำก็ทำให้การกลับมาครั้งนี้คุ้มค่าแก่การรอคอย

คำแนะนำ (Recommendation)

เหมาะสำหรับผู้ชมที่ชื่นชอบซีรีส์แนวดราม่าการเมืองที่เข้มข้น แฟนดั้งเดิมของจักรวาล Game of Thrones และผู้ที่สนใจการสำรวจจิตวิทยาตัวละครที่ซับซ้อนท่ามกลางความขัดแย้งครั้งใหญ่ ผู้ที่คาดหวังแอ็กชันต่อเนื่องอาจต้องปรับความคาดหวัง เนื่องจากซีซันนี้ให้ความสำคัญกับการปูพื้นฐานทางอารมณ์และผลกระทบของสงครามมากกว่าการต่อสู้ที่ไม่หยุดหย่อน

เมื่อมรดกที่แท้จริงของอำนาจไม่ใช่บัลลังก์ แต่คือเถ้าถ่านที่เหลืออยู่ ชัยชนะที่ได้มานั้นคุ้มค่าจริงหรือ?



“`

บทความรีวิวมาใหม่