Deadpool & Wolverine หนังที่จะกอบกู้จักรวาล Marvel?
ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ได้เป็นเพียงภาคต่อของหนังตลกเลือดสาด แต่เป็นการเดิมพันครั้งสำคัญที่อาจชี้ชะตาอนาคตของจักรวาลภาพยนตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งยุคสมัย การจับคู่กันของสองตัวละครที่แตกต่างกันสุดขั้ว ท่ามกลางวิกฤตการณ์พหุภพที่สั่นคลอน ทำให้เกิดคำถามสำคัญว่านี่คือการกอบกู้หรือเป็นเพียงการเฉลิมฉลองอันบ้าคลั่งก่อนการล่มสลาย
- ภาพยนตร์นำเสนอแนวคิด “Anchor Being” หรือ “ตัวตนสมอ” ซึ่งเป็นกลไกใหม่ในการอธิบายกฎเกณฑ์ของพหุภพ โดยชะตากรรมของทั้งจักรวาลผูกติดอยู่กับการมีอยู่ของบุคคลเพียงคนเดียว
- การกลับมารับบท Wolverine ของ ฮิว แจ็กแมน ถือเป็นเหตุการณ์สำคัญที่ทลายกำแพงระหว่างจักรวาลภาพยนตร์ X-Men เดิมของ 20th Century Fox และ Marvel Cinematic Universe (MCU) อย่างเป็นทางการ
- เนื้อเรื่องมีลักษณะเป็น “Meta-Commentary” หรือการวิจารณ์ตัวเองอย่างหนักหน่วง โดยใช้ตัวละคร Deadpool เป็นกระบอกเสียงในการเสียดสีสถานะปัจจุบันของหนังซูเปอร์ฮีโร่และภาวะวิกฤตของ MCU
- ความสำเร็จทางการเงินที่คาดการณ์ไว้สูงถึงระดับพันล้านดอลลาร์ ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ถูกจับตามองในฐานะตัวชี้วัดความเชื่อมั่นของผู้ชมและทิศทางในอนาคตของ Marvel Studios
Deadpool & Wolverine หนังที่จะกอบกู้จักรวาล Marvel? ได้กลายเป็นมากกว่าแค่ภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่ แต่เป็นปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรมที่ถูกคาดหวังให้เป็นผู้กอบกู้วิกฤตศรัทธาของ Marvel Cinematic Universe (MCU) ที่กำลังเผชิญกับภาวะชะลอตัวทั้งในแง่คำวิจารณ์และรายได้ ภาพยนตร์ลำดับที่ 34 ของ MCU นี้ ทำหน้าที่เป็นภาคต่อของ Deadpool (2016) และ Deadpool 2 (2018) แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญในการหลอมรวมเรื่องเล่าจากลิขสิทธิ์เดิมของ Fox เข้าสู่เส้นเรื่องหลักของมัลติเวิร์สอย่างสมบูรณ์ การเดินทางของ Wade Wilson ไม่ใช่แค่การผจญภัยข้ามมิติ แต่เป็นการสำรวจสถานะของความเป็นฮีโร่ในยุคที่เรื่องเล่าซ้ำซากและความคาดหวังของผู้ชมกดทับจักรวาลเอาไว้
ภาพรวมและความรู้สึกแรก

ท่ามกลางความสิ้นหวังของจักรวาลที่กำลังจะถูกลบเลือน Deadpool & Wolverine ปรากฏตัวขึ้นไม่ใช่ในฐานะวีรบุรุษผู้สูงส่ง แต่เป็นเหมือนเสียงหัวเราะสุดท้ายในงานศพของพหุภพ ภาพยนตร์เรื่องนี้คือการระเบิดอารมณ์ขันแบบทำลายล้างที่สาดใส่โครงสร้างอันศักดิ์สิทธิ์ของ MCU อย่างไม่ปรานี ขณะเดียวกันก็แฝงไว้ด้วยแก่นแท้ของความโศกเศร้าและการยอมรับในชะตากรรม มันคือการเดินทางของสองตัวละครที่ไม่สมบูรณ์ซึ่งถูกสถานการณ์บีบคั้นให้ต้องร่วมมือกัน คนหนึ่งคือตัวตลกผู้รู้ว่าทุกสิ่งคือเรื่องแต่ง อีกคนคือโศกนาฏกรรมเดินได้ผู้ปรารถนาเพียงการพักผ่อน การปะทะกันของพวกเขาจึงไม่ใช่แค่การต่อสู้ทางกายภาพ แต่เป็นการปะทะกันของปรัชญาในการดำรงอยู่ท่ามกลางความไร้สาระของโลกซูเปอร์ฮีโร่
บทวิจารณ์เชิงลึก
การวิเคราะห์ภาพยนตร์เรื่องนี้จำเป็นต้องมองผ่านเลนส์สองชั้น ชั้นแรกคือการประเมินในฐานะผลงานเดี่ยวที่มีเอกภาพในตัวเอง และชั้นที่สองคือการพิจารณาในฐานะองค์ประกอบชิ้นสำคัญของจักรวาลที่ใหญ่กว่า ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านครั้งประวัติศาสตร์
โครงเรื่องและบท: การทำลายล้างเชิงอภิปรัชญา
หัวใจของเรื่องราวอยู่ที่แนวคิด “Anchor Being” ตัวตนผู้เป็นสมอให้แก่จักรวาล ซึ่งถูกนิยามว่าหากตัวตนนี้ตายไป จักรวาลทั้งใบก็จะล่มสลายตามไปด้วย การที่ Wolverine ในเส้นเรื่อง *Logan* (2017) ได้เสียชีวิตไปแล้ว กลายเป็นคำพิพากษาถึงจุดจบของจักรวาล X-Men ทั้งหมด นี่ไม่ใช่แค่พล็อตเรื่อง แต่เป็นคำอุปมาถึงการที่เรื่องเล่าเก่าๆ ต้องหลีกทางให้แก่เรื่องเล่าใหม่ในโลกแห่งความเป็นจริงของการควบรวมกิจการระหว่าง Disney และ Fox
Deadpool ซึ่งตระหนักถึงสถานะความเป็นตัวละครของตนเอง จึงออกเดินทางเพื่อ “แก้ไข” ความผิดพลาดนี้ ภารกิจของเขาคือการตามหา Wolverine อีกเวอร์ชันหนึ่งมาแทนที่ เพื่อช่วยจักรวาลของเขาจากการถูกลบโดยสถาบันควบคุมกาลเวลา (Time Variance Authority – TVA) บทภาพยนตร์ที่เขียนโดยทีมงานชุดเดิม ร่วมกับ ชอว์น เลวี่ และ ไรอัน เรย์โนลด์สเอง มีความเฉียบคมในการเสียดสีกลไกของแฟรนไชส์ การพยายามเข้าร่วมทีม Avengers ของ Deadpool และถูกปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยโดย Happy Hogan เป็นภาพสะท้อนที่เจ็บปวดแต่ก็ขบขันถึงการแบ่งชั้นวรรณะภายในจักรวาล MCU โครงเรื่องจึงดำเนินไปบนเส้นขนานระหว่างภารกิจกู้โลกที่สิ้นหวัง กับการวิพากษ์วิจารณ์อุตสาหกรรมภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่อย่างถึงแก่น
“เมื่อเรื่องเล่าเดินทางมาถึงจุดจบ หน้าที่ของผู้เล่าคือการปล่อยวาง หรือการดิ้นรนเพื่อเขียนตอนต่อไป แม้จะรู้ว่ามันฝืนธรรมชาติก็ตาม?”
การแสดงและตัวละคร: คู่หูคู่กัดแห่งพหุภพ
เคมีระหว่าง ไรอัน เรย์โนลด์ส และ ฮิว แจ็กแมน คือเสาหลักที่ค้ำจุนภาพยนตร์ทั้งเรื่องไว้ เรย์โนลด์สยังคงเป็น Deadpool ที่สมบูรณ์แบบ ด้วยพลังงานที่ล้นเหลือ การแสดงตลกที่เข้าถึง และความสามารถในการถ่ายทอดความเจ็บปวดที่ซ่อนอยู่ใต้หน้ากากได้อย่างแนบเนียน แต่การกลับมาของแจ็กแมนในบท Wolverine คือสิ่งที่ยกระดับภาพยนตร์ไปอีกขั้น เขานำเสนอมิติของ Logan ที่เหนื่อยล้าและแตกสลาย ผู้ถูกดึงมาจากเส้นเวลาของตนเองอย่างไม่เต็มใจ ความขัดแย้งระหว่างความปรารถนาที่จะยุติทุกสิ่งของ Wolverine กับความดื้อรั้นที่จะรักษาทุกสิ่งไว้ของ Deadpool สร้างไดนามิกที่ทรงพลังและน่าติดตาม
นักแสดงสมทบอย่าง เอ็มมา คอร์ริน ในบทบาทวายร้าย และ แมทธิว แม็คฟาเดียน ในบทเจ้าหน้าที่ TVA ทำหน้าที่ของตนเองได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะแม็คฟาเดียนที่นำเสนอบุคลิกเจ้าหน้าที่ผู้เบื่อหน่ายโลกได้อย่างมีเสน่ห์ แต่ท้ายที่สุดแล้ว แสงทั้งหมดก็สาดส่องไปที่สองนักแสดงนำ ซึ่งการปะทะคารมและการต่อสู้ของพวกเขากลายเป็นภาพจำที่สำคัญที่สุดของเรื่อง
งานสร้างและองค์ประกอบศิลป์: ความโกลาหลที่จัดวางอย่างมีศิลปะ
ผู้กำกับ ชอว์น เลวี่ (Shawn Levy) เผชิญกับความท้าทายในการสร้างสมดุลระหว่างสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์ของ Deadpool ความรุนแรงระดับ R-rated และโทนเรื่องที่กว้างขึ้นของ MCU ผลลัพธ์ที่ได้คือภาพยนตร์ที่มีความหลากหลายทางภาพสูง ตั้งแต่ฉากแอ็คชั่นที่ดิบเถื่อนและออกแบบคิวบู๊มาอย่างสร้างสรรค์ ไปจนถึงฉากในมิติต่างๆ ที่เต็มไปด้วย Easter Eggs และการอ้างอิงถึงภาพยนตร์ Marvel ในอดีตของ Fox การออกแบบงานสร้างจงใจสร้างความแตกต่างระหว่างโลกที่กำลังเสื่อมสลายของ X-Men กับสำนักงานที่ดูสะอาดปลอดเชื้อของ TVA ซึ่งเป็นการสะท้อนธีมหลักของเรื่องผ่านภาพ
ดนตรีประกอบเป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบสำคัญที่ขับเคลื่อนอารมณ์ของภาพยนตร์ โดยผสมผสานเพลงฮิตจากยุคต่างๆ ที่ Deadpool ชื่นชอบ เข้ากับดนตรีออเคสตร้าที่ยิ่งใหญ่ในฉากสำคัญ สร้างความรู้สึกที่ทั้งตลกขบขันและน่าเกรงขามไปพร้อมๆ กัน
ฉาก/ไฮไลต์ที่น่าจดจำ
- ปฐมนิเทศที่ TVA: ฉากเปิดตัวที่ Deadpool ถูกนำตัวไปยัง TVA และต้องเข้ารับการปฐมนิเทศ เขาแสดงปฏิกิริยาต่อต้านด้วยการพูดคุยกับผู้ชมโดยตรง วิจารณ์วิดีโอแนะนำของ Miss Minutes และพยายามทำลายทรัพย์สินของ TVA ฉากนี้เป็นการประกาศเจตนารมณ์ของภาพยนตร์ว่าจะไม่ยอมเล่นตามกฎของใคร
- การพบกันครั้งแรกในแดนร้าง: Deadpool ตามหา Wolverine จนพบในโลกที่กำลังถูกลบเลือน ฉากนี้มีความเงียบและหม่นหมองกว่าฉากอื่นๆ Logan อยู่ในสภาพสิ้นหวังและไม่ต้องการต่อสู้อีกต่อไป การสนทนาที่เกิดขึ้นเป็นการปะทะกันทางปรัชญาครั้งแรกระหว่างความขวางโลกของ Deadpool กับความเหนื่อยหน่ายของ Wolverine
- มหกรรมคาเมโอ (Cameo-pocalypse): ในองก์สุดท้าย ตัวละครต้องต่อสู้ในมิติ The Void ซึ่งเต็มไปด้วยตัวละครและวัตถุที่ถูก “ตัด” ออกจากไทม์ไลน์ต่างๆ ฉากนี้อัดแน่นไปด้วยการปรากฏตัวของตัวละครจากภาพยนตร์ X-Men และ Marvel ยุคก่อน MCU ที่แฟนๆ คิดถึง สร้างทั้งความตื่นตาตื่นใจและความรู้สึกอาลัยอาวรณ์ไปพร้อมกัน
| องค์ประกอบ | การวิเคราะห์ | คะแนน (เต็ม 10) |
|---|---|---|
| โครงเรื่องและบท | มีความกล้าหาญในการวิจารณ์ตัวเองและอุตสาหกรรม แต่พล็อตพหุภพอาจซับซ้อนเกินไปสำหรับผู้ชมทั่วไป แนวคิด “Anchor Being” เป็นทั้งจุดแข็งและจุดอ่อน | 8.5 |
| การแสดงและเคมี | ไร้ที่ติ การจับคู่กันของเรย์โนลด์สและแจ็กแมนคือเหตุผลหลักที่ทำให้ภาพยนตร์ประสบความสำเร็จ เป็นหนึ่งในคู่หูที่ดีที่สุดของวงการหนังซูเปอร์ฮีโร่ | 10 |
| งานสร้างและเทคนิค | ฉากแอ็คชั่นมีความสร้างสรรค์และรุนแรงสมกับเรต R งานภาพสามารถแยกโทนของแต่ละมิติได้ดี แต่ CGI ในบางฉากอาจยังไม่สมบูรณ์แบบนัก | 8.0 |
| นัยยะต่อ MCU | เป็นภาพยนตร์ที่สำคัญที่สุดนับตั้งแต่ Endgame ในการกำหนดทิศทางอนาคต การผสานจักรวาล X-Men เข้ามาถือเป็นการเปิดศักยภาพใหม่ๆ อย่างมหาศาล | 9.5 |
สิ่งที่โดดเด่นและจุดที่น่าพิจารณา
สิ่งที่โดดเด่น:
- เคมีที่เข้ากันอย่างไร้ที่ติ: การแสดงร่วมกันของ ไรอัน เรย์โนลด์ส และ ฮิว แจ็กแมน เป็นมากกว่าการแสดง แต่คือการหลอมรวมตัวละครที่สมบูรณ์แบบ
- การเสียดสีที่เฉียบคม: ภาพยนตร์ใช้ประโยชน์จากการทำลายกำแพงที่สี่ (Fourth Wall) เพื่อวิจารณ์สถานะของ MCU และวงการภาพยนตร์ได้อย่างชาญฉลาดและเจ็บแสบ
- การเดิมพันที่สูงอย่างแท้จริง: ไม่ใช่แค่การต่อสู้เพื่อปกป้องโลก แต่เป็นการต่อสู้เพื่อความอยู่รอดของ “เรื่องเล่า” ทั้งจักรวาล ทำให้ความขัดแย้งมีน้ำหนักทางอารมณ์
จุดที่น่าพิจารณา:
- ความซับซ้อนของพหุภพ: ผู้ชมที่ไม่ได้ติดตาม MCU หรือภาพยนตร์ X-Men มาอย่างต่อเนื่องอาจรู้สึกสับสนกับข้อมูลและการอ้างอิงจำนวนมาก
- ความสมดุลของโทนเรื่อง: แม้จะทำได้ดี แต่ในบางครั้ง อารมณ์ขันที่ถาโถมเข้ามาอาจบดบังช่วงเวลาที่ควรจะจริงจังหรือสะเทือนอารมณ์
บทสรุปและคะแนน: ฮีโร่ผู้ปลดแอกหรือเพียงตัวตลกในวันสิ้นโลก?
สรุปแล้ว Deadpool & Wolverine หนังที่จะกอบกู้จักรวาล Marvel? นั้นทำได้สำเร็จตามความคาดหวังอย่างงดงาม มันไม่ได้เป็นเพียงยาชุบชีวิตสำหรับ MCU แต่ยังเป็นแถลงการณ์ที่ทรงพลังเกี่ยวกับธรรมชาติของเรื่องเล่าและวงจรชีวิตของแฟรนไชส์ ภาพยนตร์เรื่องนี้ยอมรับความเหนื่อยล้าของผู้ชมต่อหนังซูเปอร์ฮีโร่ แล้วเปลี่ยนมันให้กลายเป็นพลังงานขับเคลื่อนเรื่องราว มันพิสูจน์ให้เห็นว่า แม้ในจักรวาลที่เต็มไปด้วยกฎเกณฑ์และสูตรสำเร็จ การมาถึงของความโกลาหลที่เปี่ยมด้วยเจตจำนงก็สามารถทลายกำแพงและสร้างสิ่งใหม่ขึ้นมาได้ นี่คือภาพยนตร์ที่จำเป็นสำหรับยุคสมัย เป็นทั้งจดหมายรักและคำสาปแช่งต่อสิ่งที่มันเป็นส่วนหนึ่ง
คะแนน (Score)
9/10
การกลับมาที่ยิ่งใหญ่และจำเป็นอย่างยิ่ง เป็นมากกว่าหนังซูเปอร์ฮีโร่ แต่คือการผ่าตัดหัวใจของแฟรนไชส์ที่กำลังอ่อนแรง
คำแนะนำ (Recommendation)
ภาพยนตร์เรื่องนี้เหมาะสำหรับผู้ชมทุกกลุ่มที่ติดตามจักรวาล Marvel ไม่ว่าจะเป็นแฟนดั้งเดิมของ X-Men หรือผู้ที่เติบโตมากับ MCU รวมถึงผู้ชมที่ชื่นชอบภาพยนตร์แอ็คชั่นคอเมดี้เสียดสีที่มีความรุนแรงและภาษาที่จัดจ้าน นอกจากนี้ยังเป็นภาพยนตร์ที่ต้องดูสำหรับนักวิจารณ์หรือผู้ที่สนใจในปรากฏการณ์วัฒนธรรมป๊อปและการวิวัฒนาการของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ฮอลลีวูด
หากตัวตนของเราถูกผูกติดอยู่กับเรื่องเล่าที่จบลงแล้ว การดิ้นรนเพื่อเขียนบทต่อไปมีความหมายจริงแท้หรือไม่?
