The Boys S4 แรงขึ้น! รีวิวซีรีส์ฮีโร่สุดขั้วการเมือง
การกลับมาของซีรีส์ซูเปอร์ฮีโร่ที่ฉีกทุกขนบธรรมเนียม ใน The Boys S4 แรงขึ้น! รีวิวซีรีส์ฮีโร่สุดขั้วการเมือง นี้ จะเป็นการสำรวจความบ้าคลั่งที่ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง ซีซั่นที่สี่ซึ่งเปิดตัวเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2024 บน Prime Video ไม่เพียงแต่สานต่อความโหดร้ายและความตลกร้ายอันเป็นเอกลักษณ์ แต่ยังดำดิ่งสู่ประเด็นการเมืองร่วมสมัยอย่างโจ่งแจ้งและแหลมคมที่สุดเท่าที่เคยมีมา ผลักดันให้การเสียดสีสังคมก้าวไปสู่จุดสุดขั้วใหม่ที่น่าสะพรึงกลัวและน่าติดตามในเวลาเดียวกัน
ซีรีส์นี้พัฒนาโดย เอริก คริปเก (Eric Kripke) และในซีซั่นนี้ประกอบด้วย 8 ตอนที่ค่อยๆ ปล่อยออกมาเพื่อสร้างความตึงเครียดให้กับผู้ชมจนถึงตอนสุดท้ายในวันที่ 18 กรกฎาคม 2024 การเดิมพันสูงขึ้นกว่าที่เคย เมื่อโลกกำลังยืนอยู่บนปากเหวแห่งความขัดแย้ง และกลุ่ม The Boys ต้องเผชิญหน้ากับภัยคุกคามที่อันตรายยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ท่ามกลางสมรภูมิที่เส้นแบ่งระหว่างความจริงกับคำลวงถูกปั่นให้พร่าเลือนด้วยสื่อและอำนาจ
ภาพรวมและความรู้สึกแรก

The Boys ซีซั่น 4 เปิดฉากขึ้นหกเดือนหลังจากเหตุการณ์ในซีซั่นที่แล้ว บรรยากาศโดยรวมเต็มไปด้วยความสิ้นหวังและตึงเครียด โลกกำลังเดินหน้าสู่จุดแตกหักทางการเมือง โดยมีวิกตอเรีย นิวแมน (Victoria Neuman) ซูเปอร์ฮีโร่ผู้มีพลังระเบิดศีรษะที่ซ่อนตัวตนในคราบนักการเมือง กำลังจะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งรองประธานาธิบดี ซึ่งนั่นหมายถึงการเข้าใกล้อำนาจสูงสุดในทำเนียบขาว ขณะเดียวกัน โฮมแลนเดอร์ (Homelander) ที่สภาพจิตใจเปราะบางและคลั่งไคล้ในลัทธิฟาสซิสต์เต็มรูปแบบ ก็กำลังสร้างฐานอำนาจของตนเองผ่านการยอมรับของสาธารณชนที่เพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ ส่วน บิลลี่ บุตเชอร์ (Billy Butcher) ผู้นำทีม The Boys กำลังเผชิญหน้ากับเวลาชีวิตที่เหลือน้อยลงจากอาการป่วยระยะสุดท้าย และต้องดิ้นรนเพื่อรวบรวมทีมที่แตกสลายให้กลับมาต่อสู้เป็นครั้งสุดท้าย ความรู้สึกแรกหลังได้ชมคือความหนักอึ้งและความไม่สบายใจที่ซีรีส์จงใจมอบให้ มันคือภาพสะท้อนอันบิดเบี้ยวแต่จริงแท้ของสังคมปัจจุบัน ที่อำนาจ การโฆษณาชวนเชื่อ และความคลั่งไคล้ในตัวบุคคล สามารถนำพาโลกไปสู่หายนะได้
บทวิจารณ์เชิงลึก
ในซีซั่นนี้ The Boys ไม่ได้เป็นเพียงซีรีส์ซูเปอร์ฮีโร่ที่มีฉากรุนแรงอีกต่อไป แต่ได้กลายร่างเป็นบทวิพากษ์การเมืองและสังคมอย่างเต็มตัว การเสียดสีไม่ได้เป็นเพียงแค่เปลือกนอก แต่เป็นแก่นแท้ของเรื่องราวที่ขับเคลื่อนตัวละครและสถานการณ์ทั้งหมด ซีรีส์ตั้งคำถามถึงธรรมชาติของอำนาจ ความจริง และศีลธรรมในยุคที่ข้อมูลข่าวสารถูกใช้เป็นอาวุธ
โครงเรื่องและบท (Script & Plot)
โครงเรื่องหลักของซีซั่น 4 มุ่งเน้นไปที่การแข่งขันกับเวลาของทีม The Boys ซึ่งตอนนี้ทำงานร่วมกับ CIA เพื่อหยุดยั้งนิวแมนก่อนที่เธอจะได้อำนาจเบ็ดเสร็จในรัฐบาล บทภาพยนตร์มีความเข้มข้นและซับซ้อนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด มีการนำเสนอตัวละครใหม่อย่าง ซิสเตอร์เซจ (Sister Sage) ซูเปอร์ฮีโร่ผู้มีสติปัญญาสูงล้ำ ที่เข้ามาเป็นมันสมองเบื้องหลังการปั่นกระแสสังคมให้กับโฮมแลนเดอร์ ตัวละครนี้เป็นกลไกสำคัญที่ทำให้ธีม “ข่าวปลอม” และ “การโฆษณาชวนเชื่อ” มีน้ำหนักและน่ากลัวยิ่งขึ้น บทพูดเต็มไปด้วยความเฉียบคมและตลกร้ายตามสไตล์ของซีรีส์ แต่ในขณะเดียวกันก็แฝงนัยยะทางการเมืองที่รุนแรงและตรงไปตรงมา การเชื่อมโยงเหตุการณ์กับภาคแยกอย่าง Gen V ยังทำได้อย่างแนบเนียน ทำให้จักรวาลของ The Boys มีความต่อเนื่องและลึกซึ้งยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม การที่บทมุ่งเน้นไปที่การเมืองอย่างหนักหน่วง อาจทำให้ผู้ชมบางกลุ่มรู้สึกว่ามัน “การเมืองเกินไป” ซึ่งเป็นเสียงวิจารณ์ที่เกิดขึ้นจริง แต่สำหรับผู้ที่ติดตามซีรีส์นี้มาตลอด จะเข้าใจว่านี่คือทิศทางที่ซีรีส์ตั้งใจจะมุ่งไปตั้งแต่แรก
การแสดงและตัวละคร (Casting & Character)
การแสดงยังคงเป็นจุดแข็งที่สุดของซีรีส์ แอนโทนี สตาร์ (Antony Starr) ในบทโฮมแลนเดอร์นั้นยอดเยี่ยมจนน่าขนลุก เขาสามารถถ่ายทอดความเปราะบาง ความบ้าคลั่ง และความน่าสะพรึงกลัวของตัวละครที่กำลังสูญเสียการควบคุมได้อย่างสมบูรณ์แบบ ในขณะที่ คาร์ล เออร์บัน (Karl Urban) ก็มอบการแสดงที่ทรงพลังในบท บิลลี่ บุตเชอร์ ชายผู้แข็งกร้าวที่กำลังถูกความตายและความผิดพลาดในอดีตกัดกินจากภายใน พัฒนาการของตัวละครอื่น ๆ ก็น่าสนใจไม่แพ้กัน เช่น ฮิวอี้ (Jack Quaid) และสตาร์ไลท์ (Erin Moriarty) ที่ต้องเผชิญกับการตัดสินใจทางศีลธรรมที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น ในส่วนของนักแสดงใหม่ ซูซาน เฮย์เวิร์ด (Susan Heyward) ในบทซิสเตอร์เซจ ถือเป็นการคัดเลือกที่ยอดเยี่ยม เธอสร้างตัวละครที่น่าเกรงขามและเป็นภัยคุกคามทางสติปัญญาได้อย่างน่าเชื่อถือ เคมีของนักแสดงทุกคนยังคงเข้ากันได้ดี ทำให้ความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดและความขัดแย้งภายในทีม The Boys ดูสมจริงและมีมิติ
งานสร้างและองค์ประกอบศิลป์ (Production Value)
งานสร้างในซีซั่น 4 ยังคงรักษามาตรฐานระดับสูงไว้ได้อย่างไม่มีที่ติ ฉากแอ็กชันมีความโหดร้ายและสร้างสรรค์เช่นเคย แต่สิ่งที่น่าชื่นชมคือทุกฉากความรุนแรงล้วนมีเป้าหมายเพื่อขับเน้นธีมของเรื่อง นั่นคือผลลัพธ์ของอำนาจที่ปราศจากการควบคุม งานภาพ (Cinematography) ใช้โทนสีที่หม่นหมองเพื่อสะท้อนโลกที่สิ้นหวังและเต็มไปด้วยการหลอกลวง ดนตรีประกอบยังคงทำหน้าที่สร้างบรรยากาศที่กดดันและตึงเครียดได้อย่างยอดเยี่ยม การออกแบบเครื่องแต่งกายและฉากต่าง ๆ ล้วนส่งเสริมโลกทัศน์อันบิดเบี้ยวของซีรีส์ได้อย่างสมบูรณ์แบบ การกำกับในแต่ละตอนสามารถรักษาสมดุลระหว่างความตลกร้าย ความดราม่าหนักหน่วง และฉากแอ็กชันที่น่าตื่นเต้นไว้ได้เป็นอย่างดี ทำให้ The Boys S4 เป็นประสบการณ์การรับชมที่ครบเครื่องและยากจะละสายตา
| องค์ประกอบ | การวิเคราะห์ | คะแนน |
|---|---|---|
| โครงเรื่องและบท | เสียดสีการเมืองอย่างแหลมคมและกล้าหาญ บทมีความซับซ้อนและเชื่อมโยงกับสถานการณ์โลกปัจจุบันได้อย่างน่าทึ่ง | 9/10 |
| การแสดงและตัวละคร | แอนโทนี สตาร์ และ คาร์ล เออร์บัน มอบการแสดงระดับมาสเตอร์พีซ ตัวละครใหม่เพิ่มมิติที่น่าสนใจให้กับเรื่องราว | 10/10 |
| งานสร้างและเทคนิค | โปรดักชันคุณภาพสูง ฉากแอ็กชันและวิชวลเอฟเฟกต์ยังคงยอดเยี่ยม การกำกับและดนตรีประกอบส่งเสริมบรรยากาศได้ดี | 9/10 |
| ความบันเทิงและผลกระทบ | มอบความบันเทิงที่ทั้งโหด มันส์ และกระตุ้นความคิดไปพร้อมกัน ทิ้งประเด็นให้ขบคิดต่อได้อย่างลึกซึ้ง | 9.5/10 |
ฉาก/ไฮไลต์ที่น่าจดจำ
หนึ่งในฉากที่ทรงพลังและสรุปแก่นของซีซั่นนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ คือฉากที่โฮมแลนเดอร์สังหารผู้ประท้วงต่อหน้าสาธารณชนอย่างเลือดเย็น แต่แทนที่จะถูกประณาม เขากลับได้รับการโห่ร้องยินดีจากกลุ่มผู้สนับสนุนของเขา ฉากนี้ไม่ได้น่ากลัวเพราะความรุนแรงที่เกิดขึ้น แต่เป็นเพราะปฏิกิริยาของฝูงชน มันคือภาพจำลองของปรากฏการณ์ “ลัทธิบูชาตัวบุคคล” และ “จิตวิทยามวลชน” ที่น่าสะพรึงกลัว ซีรีส์ไม่ได้บอกเพียงแค่ว่า “ซูเปอร์ฮีโร่คนนี้เลวร้าย” แต่กำลังชี้ให้เห็นว่า “สังคมที่สร้างและยอมรับฮีโร่แบบนี้ต่างหากที่น่ากลัวกว่า” การกำกับภาพในฉากนี้ยอดเยี่ยมมาก โดยจับจ้องไปที่ใบหน้าเปี่ยมสุขของผู้สนับสนุน สลับกับใบหน้าที่เย็นชาไร้ความรู้สึกของโฮมแลนเดอร์ มันเป็นฉากที่ทิ้งร่องรอยความไม่สบายใจไว้ในใจผู้ชม และบังคับให้ต้องตั้งคำถามถึงธรรมชาติของความเชื่อและความจริงในโลกยุคใหม่
อำนาจที่แท้จริงอาจไม่ได้อยู่ที่ผู้กระทำ แต่อยู่ที่เสียงปรบมือของผู้ที่ยอมรับการกระทำนั้น
สิ่งที่ชอบและไม่ชอบ
แม้จะเป็นซีซั่นที่แข็งแกร่ง แต่ก็ยังมีบางประเด็นที่อาจเป็นได้ทั้งจุดแข็งและจุดอ่อนในเวลาเดียวกัน
- สิ่งที่ชอบ:
- การเสียดสีการเมืองที่กล้าหาญ: ซีรีส์ไม่เกรงกลัวที่จะวิพากษ์วิจารณ์การเมืองฝ่ายขวา การควบคุมสื่อ และวัฒนธรรมเซเลบริตี้อย่างตรงไปตรงมา ซึ่งหาได้ยากในสื่อกระแสหลัก
- การแสดงที่เหนือชั้น: โดยเฉพาะ แอนโทนี สตาร์ ในบทโฮมแลนเดอร์ ที่ยกระดับความน่ากลัวของตัวละครไปอีกขั้น
- การยกระดับเดิมพัน: ความขัดแย้งทุกอย่างทวีความรุนแรงขึ้น สร้างความตึงเครียดและปูทางไปสู่บทสรุปสุดท้ายของซีรีส์ได้อย่างน่าติดตาม
- สิ่งที่อาจไม่ชอบ:
- ความโจ่งแจ้งทางการเมือง: สำหรับผู้ชมบางกลุ่ม การที่ซีรีส์นำเสนอประเด็นการเมืองอย่างไม่ปิดบังอาจทำให้รู้สึกเหมือนถูกยัดเยียดหรือ “สั่งสอน” มากเกินไป
- ความรุนแรงและหดหู่: โทนของเรื่องที่มืดมนและสิ้นหวังอย่างต่อเนื่อง อาจทำให้ผู้ชมรู้สึกเหนื่อยล้าทางอารมณ์ได้
บทสรุปและคะแนน
The Boys S4 คือการยกระดับซีรีส์ไปอีกขั้น มันคือส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างความบันเทิงสุดขั้วกับการวิพากษ์สังคมอย่างเจ็บแสบ เป็นซีรีส์ที่ไม่เพียงแต่จะทำให้ผู้ชมตื่นเต้นไปกับฉากแอ็กชัน แต่ยังทิ้งคำถามสำคัญเกี่ยวกับอำนาจ ศีลธรรม และทิศทางของสังคมไว้ให้ขบคิดต่อ นี่ไม่ใช่แค่ซีรีส์ซูเปอร์ฮีโร่ แต่เป็นกระจกสะท้อนยุคสมัยที่บิดเบี้ยวและเต็มไปด้วยความขัดแย้ง แม้ความโจ่งแจ้งทางการเมืองอาจไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนชื่นชอบ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันคือความกล้าหาญที่ทำให้ The Boys โดดเด่นและแตกต่างจากซีรีส์อื่น ๆ ในแนวเดียวกันอย่างสิ้นเชิง
คะแนน (Score)
คะแนนรีวิว: 9.0/10
★
★
★
★
★
★
★
★
☆
ผลงานมาสเตอร์พีซของการเสียดสีที่ทั้งกล้าหาญ รุนแรง และกระตุ้นความคิดได้อย่างยอดเยี่ยม เป็นซีซั่นที่สำคัญที่สุดและดีที่สุดซีซั่นหนึ่งของซีรีส์
คำแนะนำ (Recommendation)
ซีรีส์เรื่องนี้เหมาะสำหรับ:
- แฟนตัวยงของ The Boys ที่ติดตามมาตั้งแต่ซีซั่นแรก
- ผู้ชมที่ชื่นชอบงานเสียดสีสังคมและการเมืองที่แหลมคมและไม่ประนีประนอม
- ผู้ที่เบื่อหน่ายกับภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่สูตรสำเร็จและมองหาอะไรที่ท้าทายความคิดมากกว่า
อาจไม่เหมาะสำหรับผู้ชมที่อ่อนไหวต่อภาพความรุนแรงระดับสูง หรือผู้ที่ไม่ต้องการชมเนื้อหาที่มีประเด็นทางการเมืองอย่างเข้มข้น
เมื่อเส้นแบ่งระหว่างความบันเทิงและการโฆษณาชวนเชื่อเลือนลางจนแทบมองไม่เห็น อำนาจที่แท้จริงอยู่ในมือของผู้สร้างหรืออยู่ในใจของผู้เสพกันแน่?
